มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่ทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆทุกวัน แต่คาดหวังผลลัพธ์ใหม่ๆ
มีประโยคหนึ่งที่พูดกันมานานว่า "มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่ทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆทุกวัน แต่คาดหวังผลลัพธ์ใหม่ๆ" หรือ "มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง" หรือ "คนที่ทำแบบเดิมแต่หวังผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คือ คนบ้า " ซึ่งก็มีนัยยะเดียวกัน ตามต้นฉบับ "Insanity is doing the same thing over and over and expecting different results " และอ้างว่ามาจากคำพูดของหลายคน เช่นมาร์ก ทเวน,เบนจามิน แฟรงกลิน,อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เราไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าต้นกำเนิดมาจากใครกันแน่ แต่ให้สนใจความหมายมากกว่า จำได้ว่าประโยคนี้ ผมใช้อธิบายตอนเป็นวิทยากรเรื่อง "แนวคิดกับการพัฒนากระบวนการทำงาน"เมื่อหลายสิบปี ให้กับคนทำงานในกระบวนการประจำวัน (Daily Process) และได้มีโอกาสเข้าตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานขนาดใหญ่หน่วยงานหนึ่ง พบว่า มีบางกระบวนการยุ่งยาก ซับซ้อน ใช้คน ใช้เวลามาก กว่าจะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ และถูกกำหนดให้ปฏิบัติงานตามกระบวนการเดิมๆ มาหลายปี กำหนดให้พนักงานบัญชีส่วนกลางซึ่งมีร้อยกว่าคน ต้องตรวจรายการกระทบยอดเดบิต และเครดิตทางบัญชี ซึ่งเป็นรายการเคลื่อนไหว(Daily Transaction) ของสาขาที่มีจำนวนมากในแต่ละวันที่ส่งข้อมูลเข้ามาประมวลผลยังสำนักงานใหญ่ งานนี้ต้องใช้กำลังคนนับร้อยในการตรวจสอบแบบ Manual คือใช้คนนั่งตรวจทั้งวัน องค์กรต้องเสีย โอที จำนวนมากในการตรวจสอบ ซึ่งมีการปฏิบัติกันมาหลายปี ผมถูกมอบหมายให้เข้าไปทำเรื่อง process improvement นั่นคือเข้าไปศึกษาระบบการทำงานในปัจจุบัน ได้เห็นกระบวนการ และปัญหาที่เกิดขึ้น จึงนำเสนอให้ เขียนโปรแกรมกระทบยอดโดยคอมพิวเตอร์ และพิมพ์รายงานเฉพาะส่วนที่ระบบตรวจพบว่ารายการไม่ตรงกัน เพื่อให้พนักงานนำไปตรวจสอบ ปรากฏว่า สามารถลดภาระในการตรวจสอบได้เยอะ ประหยัดเงินจ่ายค่าโอที ลดจำนวนคนที่ต้องทำงาน เพื่อย้ายไปช่วยงานด้านอื่นได้ ซึ่งในอดีตนั้น กว่าจะเปลี่ยนการทำงานที่คนทำมาหลายปี ไม่ง่ายเลย แรกๆได้รับการต่อต้าน แต่เมื่อผ่านไปหลายปี ก็ยังใช้ระบบนี้อยู่ ในชีวิตจริงเราลองทบทวนสิ่งที่อยู่รอบตัว จะพบเห็นหลายคนที่มีพฤติกรรมที่ทำแบบเดิม โดยไม่รู้ตัว ยากที่จะเปลี่ยนแปลง มองว่า พอใจแล้ว สบายใจแล้ว มีความสุขพอแล้ว ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงอะไร แต่ก็ดูย้อนแย้งกับความคิดที่อยากมี อยากรวย อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น เหมือนคนอื่นที่เป็นกัน
ตอนเย็นของทุกวัน ภาระกิจสำคัญระดับจักรวาล ไม่ว่าฝนจะตก แผ่นดินจะแยก จะเกิดสงครามโลก ก็ต้องพาหมาน้อยไปเดินสวนสาธารณะริมคลอง ทำมาแล้วกว่าห้าปี ชีวิตไม่ต้องไปไหน เกษียณมาดูแลหมาอย่างเดียว สังเกตุเห็นเรื่องราวหลายอย่าง เนื่องจากเดินทุกวัน จะจำหน้าคนที่มาออกกำลังกายได้เกือบทุกคน มีชายหนุ่มใหญ่คนหนึ่ง รูปร่างอ้วน ในวันแรกที่ผมเห็นเขาใส่ปลอกถ่วงน้ำหนักที่ข้อขา เห็นมาวิ่งทุกวัน วิ่งจนเหงื่อท่วม เห็นวิ่งทุกวัน ต่อเนื่องมาประมาณ 6 เดือน จากวิ่งจ็อกกิ้ง เบาๆ เป็นวิ่งแบบจริงจัง โดยที่ใส่ปลอกถ่วงน้ำหนัก จากชายร่างอ้วน จนผอมลงมีกล้ามเนื้อ ดูดีขึ้น ดูแข็งแรงขึ้นมาก ผลจากการมานะ มีวินัยในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพราะการควบคุมอาหาร หรือการทุ่มเทให้บรรลุเป้าหมายของเขา ก็อดจะชื่นชมไม่ได้ และก็เห็นมีอีกหลายคนออกมาเดินได้ไม่กี่วันก็หยุด บางคนใส่ชุดมาเต็ม วิ่งสักพัก ก็หยุดเซลฟี่ ส่วนใหญ่จะเห็นวิ่งได้ไม่กี่วันก็หายหน้าไปเลย มีผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างอ้วน เตี้ย ผมเห็นเขาใส่ชุดออกกำลังกาย ออกมาเดินทุกวัน เดินไปดูมือถือไป เหมือนมาเดินเล่น ไม่เคยเห็นเขาวิ่งเลย เห็นเขามาเดินออกกำลังกายมาเกือบสองปี ร่างกายเขาก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หลายครั้งก็เห็นเขาหยุดซื้อคอหมูย่างบ้าง หมูปิ้งบ้าง ลูกชิ้นปิ้งบ้าง กินไปเดินไป บางทีผมอาจจะคิดผิด คนที่มาออกกำลังกาย อาจไม่มีเป้าหมายที่ต้องการลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วน เขาอาจแค่ทำอะไรก็ได้ให้มีเหงื่อออก ให้ร่างกายได้ขยับ ได้ออกแรง แต่เราไปคิดเอง ไปตัดสินใจเขาเอง แต่สมองผมดันมองเห็นและคิดแบบเปรียบเทียบเอง ว่าคนที่ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องมาตลอดสองปี ควรจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีบ้าง เช่น มีกล้ามเนื้อ มีผิวพรรณ หุ่นเฟิร์ม มีโหงวเฮ้งขึ้น มีระบบการขับเหงื่อที่ขึ้น เหมือนเวลาเราดูว่านักมวยคนไหนฟิตมาก ซ้อมมาเยอะ ก็สามารถดูระบบการขับเหงื่อ การหายใจของเขาได้ จึงอาจสรุปเองไปว่า เพราะเขาเลือกที่จะทำแบบเดิมๆ จึงได้ผลลัพธ์เดิมๆ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆให้เห็น
ครั้งหนึ่งเคยเปิดร้านขายของเก่าบนห้างฯ ตลอดระยะเวลาประมาณ 4 ปี ได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตเป็นพ่อค้า ได้เข้าใจวิถีของพ่อค้าดี บางคนเปิดร้านขายของแบบซื้อมาขายไป ได้กำไรจากส่วนต่าง ต้องเก็บกำไรไว้จ่ายค่าเช่ารายเดือน ต้องกินต้องใช้ ต้องบริหารดีๆ ไม่งั้นจะชักหน้าไม่ถึงหลัง ในช่วงแรกที่เปิดร้าน เป็นช่วงที่่เศรษฐกิจดี ยอดขายที่ร้านประมาณเลขหกหลักต่อเดือน แทบอยากจะลาออกจากงานประจำมานั่งขายของเลย ปีถัดมาเกิดวิกฤตทางการเมือง มีประท้วงกัน และวิกฤตทางเศรษฐกิจทั่วโลก ยอดขายลดลงมาก เงินที่ได้ในแต่ละเดือน ต้องจ่ายค่าเช่า จ่ายค่าจ้างคนขาย เหลือกำไร หรือขาดทุนในบางเดือน มองแล้วว่าธุรกิจแบบนี้ไปไม่ได้แล้ว เจอลูกน้องทุจริตเงินที่ร้านอีก ต้องตัดสินใจเลิกกิจการ เพราะคิดว่าถ้ายังทำแบบเดิมๆ ต่อ ก็คงขาดทุนต่อไป ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในตอนนั้น เพราะหลังจากที่ปิดตัวลง ปรากฏในปีนั้นได้ข่าวว่ามีหลายร้านต้องเจ๋ง เลิกกิจการ เพราะเศรษฐกิจแย่มาก คนไม่มีกำลังซื้อ (คล้ายในปีนี้) ส่วนพ่อค้าแม่ค้าบางคนไม่ยอมไปไหน ทนสู้ ทนขายแบบเดิมๆที่เคยขายมาหลายปี เพราะยึดกับความสำเร็จในอดีต ไม่ยอมปรับ เมื่อขายไม่ได้ ก็มานั่งบ่นว่าขายไม่ดี โทษเศรษฐกิจ โทษรัฐบาลที่บริหารไม่ดี ... ทั้งๆก็รู้ว่าไม่สามารถไปแก้ไขอะไรได้ แทนที่จะเอาเวลาไปปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายของตัวเอง และก็มีผู้ขายบางคนตัดสินใจย้ายร้านไปขายอีกห้างฯ ได้ข่าวว่าขายดีกว่าอยู่ที่เดิม เพราะเขาเห็นว่าถ้ายังขายแบบเดิมๆ ที่เดิม จะมีผลลัพธ์แบบเดิม
คนไทยส่วนใหญ่ ฝากความหวังในทุกวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน บางคนซื้อล็อตเตอรี่มาทั้งชีวิต ไม่เคยถูกเลย บางคนถูกเลขท้ายสองตัว หรือสามตัว ไม่กี่ครั้งในชีวิต ซึ่งหากรวมเงินที่เอาไปซื้อล็อตเตอรี่ เทียบกับเงินที่ถูกรางวัล มียอดเสียมากกว่าได้ จึงมิแปลกที่รายได้ที่มาจากกองสลากฯเข้ารัฐ มีจำนวนมากในแต่ละเดือน ดูเหมือนว่าทุกคนยินดีให้เขามอมเมา ถึงเขาหลอกก็เต็มใจหลอก เพื่อแลกกับความหวัง ซึ่งเป็นทางออกเดียวในการแก้ปัญหาชีวิต หาทุกวิธี ทุกความเชื่อ บนบานศาลกล่าว ขอโอกาสถูกรางวัลเงินก้อนใหญ่ ซึ่งก็รู้ว่าโอกาสเกิดขึ้นจริงกับชีวิต น้อยจนแทบจะเรียกว่าไม่มี ลองคิดดูนะ ว่ากองสลาก พิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 100 ชุด ชุดละ 1 ล้านใบ ใน 1 ชุด มีรางวัลทั้งสิ้น 14,168 รางวัล แปลว่า มีโอกาสถูกรางวัล 1.42% ต่อชุด 1 ล้านใบ และ มีโอกาสถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 คือ 1 ใน 1 ล้านใบ (ชุด) กองสลากพิมพ์สลากฯ 100 ล้านใบ เท่ากับว่า คนที่ดวงดี มีโอกาสถูกรางวัลที่ 1 อยู่ที่ 0.0001% เท่านั้น ส่วนเลขหน้าและท้าย 3 ตัว 4 รางวัล อยู่ที่ 0.4% เลข 2 ตัวอยู่ที่ 1% เราก็รู้ว่าโอกาส 0.0001% เป็นไปได้ยากยิ่ง แทบจะไม่มีทางเลย แต่ทุกคนก็หวังให้มันเกิดกับตน ทั้งๆที่ก็รู้ว่าไม่มีทาง ก็ยังซื้อ ยังหวัง ต้องซื้อซ้ำๆแบบเดิมๆ และผลลัพธ์ที่ได้รับก็เป็นแบบเดิมๆ บางคนอาจซื้อมากขึ้น เพื่อหวังให้มีโอกาสมากขึ้น ทุกคนล้วนต้องการให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับตน บางคนถอดใจ รู้ว่าอัตราความเป็นไปได้น้อย ก็ปรับการซื้อน้อยลง หรือไม่ซื้อเลย เอาเงินที่ซื้อมาลงทุนทำมาหากิน ยังมีเปอร์เซ็นต์ได้เงินมากกว่า แต่ทุกวันนี้ก็ยังซื้อกันอยู่ต่อเนื่อง กับความคิดที่ว่ามันน่าจะมีผลลัพธ์ที่ดีมาสู่ตนสักวัน คงต้องถึงวันที่ไม่มีเงินซื้อเลย จึงจะหยุดความหวังนี้ลง เชื่อเถอะอย่าเสียเงิน เสียเวลาไปกับเรื่องนี้เลย เปลี่ยนวิธีเป็นลงมือทำ จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมแน่นอน
---------------------------------------------------------------
ทำแบบเดิม ย่อมได้ ชีวิตแบบเดิม
ถ้าอยากได้ ชีวิตใหม่ ก็ต้องทำแบบใหม่
ผลลัพธ์จะเปลี่ยน เมื่อการกระทำเปลี่ยน
ถ้าการกระทำไม่เปลี่ยน ก็อย่าเพ้อเจ้อ ถึง ชีวิตใหม่
จากเพจ "สมองไหล"
-----------------------------------------------------------------
พ่อหมูตู้