แชร์

มุมเดียวกัน แต่เห็นต่างกัน

อัพเดทล่าสุด: 12 มี.ค. 2025
19 ผู้เข้าชม

               มีนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของมุมมองความคิด ที่ไม่เหมือนกัน เพราะมองกันคนละมุม  เขาโพสต์ไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว  เรื่องมีอยู่ว่า  
               อากงแก่ๆคนหนึ่ง รับหน้าที่เลี้ยงดูหลาน ที่กำลังอยู่ในวัยซนทั้งสี่  หลานทั้งสี่ก็เล่นกันบ้าง ตีกันบ้างตามประสาเด็ก แต่ครั้งหนึ่งรุนแรงจนถึงขนาดที่อากงต้องออกโรงห้ามปราม  เมื่ออารมณ์ทุกฝ่ายสงบลง อากงจึงเรียกหลานๆมานั่งล้อมโต๊ะคุยกัน 
อากงบอก   "เอาล่ะหลานๆ หลับตานะ หลับตา"   พอหลานๆหลับตา อากงก็เดินกลับเข้าไปที่ห้องเก็บของ แล้วหยิบตะเกียงเก่าๆ ออกมาอันหนึ่ง อากงเปิดฝาครอบ จุดไฟ แล้วปิดฝาครอบ   อากงบอกหลานที่สี่ให้ลืมตา "บอกซิว่าโคมไฟสีอะไร"   
คนที่นั่งด้านหนึ่งบอก "สีแดง"
อีกด้านหนึ่งบอกว่า "สีเขียว"
อีกด้านหนึ่งบอกว่า "สีเหลือง"
และอีกด้านหนึ่งบอกว่า "สีน้ำเงิน"
จากคำตอบเล็กๆ กลายเป็นเสียงถกเถียง และเริ่มทะเลาะกันอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง จะเกือบกลายเป็นกรณิพิพาท  อากงนิ่ง ปล่อยให้อารมณ์ของหลานทั้งสี่เริ่มสงบลง   หลานคนหนึ่งจึงเอ่ยปากถามว่า  "อากงของอย่างเดียวกัน ทำไมจึงมีตั้งหลายสี"   อากงยิ้มแล้วบอกว่า "อากงจะทำอะไรให้ดู"   พร้อมเดิมไปที่โต๊ะหยิบฝาครอบตะเกียงออก แล้วหมุนฝาครอบนั้นให้หลานๆดู   ปรากฏว่าฝาครอบตะเกียงนั้นทั้งสี่ด้าน มีสีที่แตกต่างกันไป สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน   อากงถามอีกว่า "คราวนี้บอกอากงซิว่า เป็นตะเกียงเป็นสีอะไร?"    "สีของไฟ" หลานๆตอบเป็นเสียงเดียวกัน 

"อากงขอถามอะไรสักสองข้อ เมื่อสักครู่นี้ใครตอบผิด?"   หลานๆตอบโดยพร้อมเพรียงกัน "ไม่มีใครผิด"    

อากงจึงกล่าวต่อไปว่า  "เจ้าทั้งสี่นั่งอยู่ในที่เดียวกัน มองของอย่างเดียวกันในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกัน  นั่นก็เพราะคนทุกคนมองตะเกียงจากมุมมองของตัวเอง มองในสิ่งที่ตัวเองเห็น และก็ เชื่อมั่นในสิ่งที่เห็น "  

"แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ว่า ทำไมคนอื่นจึงเห็นไม่เหมือนเรา แตกต่างกับเรา ก็จงเดินไปดูที่มุมของเขา แล้วเราก็จะรู้ จะเข้าใจว่า เขาเห็นอย่างไร เห็นและคิดได้อย่างที่เขาเห็น ต่อไปในอนาคต เวลาที่พวกหลานๆต้องเข้าไปอยู่ในสังคม จะต้องพบคนต่างๆมากมาย ที่มองสิ่งเดียวกัน แต่กลับเห็นไม่เหมือนกัน เพราะมีมุมมองที่ต่างกัน ก็อย่าไปโกรธเขา เพราะนั่นเพียงแต่เป็นการมองต่างมุม ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด และอย่างไปกลัวว่า ตัวเองจะผิดที่มองไม่เห็นเหมือนคนอื่น เพราะแต่ละคนก็จะเห็นสิ่งต่างๆด้วยขอบข่ายจากประสบการณ์และจากสิ่งแวดล้อมของตนเอง  ถ้าเราอยากเข้าใจว่า ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น เห็นแบบนั้น ก็จงเดินไปที่มุมของเขา เราก็จะรู้ว่าเขาคิดอะไรทำให้เราเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น  และเมื่อเราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น จะทำให้คนอื่นยอมที่จะเดินมาและเข้าใจหลานเช่นกัน"   

อากงถามต่อ "แล้วสิ่งที่เห็นครั้งแรกกับครั้งหลังเป็นของอย่างเดียวกันไหม๊"  

หลานๆตอบ "อย่างเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน"   

"อย่างไร?" อากงถาม  หลานตอบว่า "ครั้งแรกเราเห็นแต่ฝาครอบตะเกียง แต่ครั้งหลังเราเห็นเปลวไฟที่อยู่ในตะเกียง" 

อากงจึงกล่าวว่า "นี่เป็นการบอกว่า จงอย่ามองสิ่งต่างๆเพียงแค่ที่เห็น  แต่จงเข้าใจทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น"    (จากเพจ sun stories)

                 เรื่องนี้บอกว่า การมองในมุมมองที่แตกต่าง ย่อมตีความและตัดสินต่างกัน  ซึ่งผมคิดว่าทุกคนมีความเข้าใจในเรื่องนี้กันดี   แต่ผมก็มีข้อสงสัยเรื่องหนึ่ง "ทำไมคนเรารับข้อมูลเดียวกัน ในมุมเดียวกัน แต่คิดต่างกัน ตีความต่างกัน"  เหมือนนั่งฟังธรรมะจากหลวงพ่อองค์เดียวกัน ฟังในทีเดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่มีคนเข้าใจ ตีความธรรมะที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคน    ซี่งเป็นเริ่องการทำงานของสมอง  หลักการทำงานของระบบประสาท นั่นคือ 1.การรับรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัส(sensory)  ซึ่งเป็นเรื่องของสมองส่วนที่ใช้รับภาพ (Visual Cortex) ,การรับเสียง (Auditory Cortex)  รวมถึงระบบประสาทสัมผัสต่างๆ   2.ระบบการประมวลผล ของมนุษย์ที่รับรู้ข้อมูลมาประมวลผลในสมอง ในส่วนที่เรียกว่า Dorsomedial prefrontal cortex (DMPFC) อยู่บริเวณกลางหน้าผากค่อนไปทางด้านบน ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการเรียกความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ (Episodic Memory) กลับคืนมา  โดยมีการตอบสนองทางสมองที่แตกต่างกันนี้ เรียกว่า ความมีขั้วทางประสาท (Neural Polarization)  ซึ่งจะยิ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อยู่ที่สิ่งเร้าที่เข้ามาประมวลผล    และ 3.การแสดงออกหรือพฤติกรรม   คล้ายกับระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์  ที่มีการป้องข้อมูล(input) การประมวลผล(process) และการแสดงผลลัพธ์ (output)   แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ คือ มีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้การตีความ (Perception) ของสมองต่อสิ่งที่ประสาทสัมผัสได้รับรู้มาผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง  โดยสมองมีการทำงานที่เรียกว่า การประมวลผลจากบนลงล่าง (Top-Down Process)  หมายถึง สมองมีชุดข้อมูลบางอย่างเตรียมไว้แล้วว่าจะตีความสิ่งที่ได้รับรู้นั้นอย่างไร  ซึ่งช่วยให้การทำงานของสมองรวดเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง   โดยชุดข้อมูลที่สมอง (DMPFC) เตรียมไว้ล่วงหน้านั้นก็มาจากข้อมูลสิ่งที่แต่ละคนพบเจอมาทั้งชีวิต  ความเชื่อ คุณค่าที่คนนั้นยึดถือ  ข้อมูลความรูู้ที่สมองสร้างขึ้นมา (ปรุงแต่ง)       ยกตัวอย่างเช่น  มีคนสองคนเดินผ่านเส้นทางในคืนที่มืดมิด  ผ่านป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงขนาดใหญ่  มีเพียงไฟฉายกระบอกเล็กๆส่องนำทาง  เพื่อเดินทะลุไปอีกฝั่งของป่า   คนแรกเคยเดินป่าตั้งแต่เด็กกับพ่อ สมองจะคิดแต่เรื่องความเสี่ยง อันตรายในการเดินป่าในตอนกลางคืน  เขาจะเดินด้วยความระมัดระวัง  สมองคิดเรื่องสัตว์ร้ายในป่าจะออกมาจู่โจมทำร้าย  เส้นทางที่กำลังเดินจะมีหลุมมีบ่อไหม๊ มีสิ่งกีดขวางอะไร  กิ่งไม้จะตกลงมาเมื่อมีลดพัดแรงไหม๊ ......     ส่วนอีกคน ชอบฟังเดอะโกสมากไป ไม่เคยเดินป่า  ชีวิตรับแต่ข้อมูลเรื่องเล่าความน่ากลัวของป่า  เดินไปทุกย่างก้าวก็กลัวไป  ได้ยินเสียงอะไร ก็ตกใจ  คิดเป็นผีป่าออกมาหลอก  ใบไม้ไหว กิ่งไม้หล่น ก็ตกใจกลัว  ต้องรีบเดินออกจากป่าให้ไวสุด   ทั้งสองคนเดินเส้นทางเดียวกัน สถานที่เดียวกัน ในเวลาเดียวกัน  รับรู้เหมือนกัน แต่การตีความ การปรุงแต่ง และการแสดงออกของทั้งสองไม่เหมือนกัน    ต่างกันตรงที่ทั้งสองมีข้อมูลบางอย่างที่เตรียมไว้ในสมองว่าจะตีความอย่างไร ไม่เหมือนกัน      พูดถึงเรื่องนี้ ทำให้ผมคิดถึงเรื่องตอนวัยหนุ่ม ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน  ระหว่างทางเจอรถกู้ภัยเปิดไฟฉุกเฉินอยู่ข้างทาง  มองไกลๆที่ข้างทางเป็นป่าหญ้า มีรถมอเตอร์ไซค์ล้ม ไฟหน้ายังเปิดอยู่ สภาพรถล้อเบี้ยว  ถัดไปมีรถกระบะสีขาวสภาพด้านหน้ายับเยิน  ตอนนั้นหยุดรถได้ ก็รีบเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น  เผื่อช่วยอะไรได้  เดินไปถึงมอเตอร์ไซค์ที่ล้ม  สิ่งที่เจอคือ สภาพศพสองคนนอนหงาย คนหนึ่งนอนคว่ำหน้า อีกคนนอนหงาย มองไปบริเวณหัว หน้าบิดเบี้ยว สมองกระจาย เลือดเต็มตัว   ผมได้แต่ยืน งง  เพราะพึ่งเห็นศพครั้งแรกในชีวิต  ได้แต่เดินถอยออกมา ก่อนจะเป็นลม ปล่อยให้กู้ภัยทำงานต่อ    ภาพนั้น ถูกสมองจดจำไว้เรียบร้อย  เป็นบทเรียนที่ทำให้ ระมัดระวังเรื่องการขับรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ประมาท ไม่ขับไว เพราะเวลาขับรถเร็ว สมองก็จะเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเตือน    ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยผ่านความตาย (ไว้จะเล่าให้ฟัง) ,ไม่เคยเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุ , เกิดมาไม่เคยเจอศพ,ไม่เคยคิดเรื่องผลกระทบ มักมองโลกสวย  มองไม่เห็นความเสี่ยง  ใช้ชีวิตอย่างประมาทโดยไม่รู้ตัว  จนกว่าจะได้เจอบทเรียน     
                   อยากบอกว่า  มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะสั่งให้สมองเก็บเฉพาะข้อมูลดีๆ เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต และให้ลืมเรื่องแย่ๆในชีวิตที่เจอมา ทิ้งไป ไม่ต้องเก็บ ไม่ต้องจำ  เพราะเราไม่อาจสั่งสมองได้  วันดีคืนดี สมองเจอสิ่งเร้ากระตุ้นให้คิดถึงเรื่องแย่ๆ ที่แอบเก็บซ่อนไว้ในเบื้องลึกของสมอง ทั้งๆที่เราพยายามลืม หรือคิดว่าลืมไปแล้ว ขึ้นมาให้คิด ให้ทุกข์ได้ ตลอดเท่าที่ยังมีชีวิต หรือมีสติสัมปชัญญะ   หากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ถูกเก็บไว้ในสมอง  สมองใช้มาประมวลผลเพื่อตีความ วิเคราะห์ ตัดสินใจ  สร้างความคิด ตรรกะ ความเชื่อ ในการใช้ชีวิต และกำหนดเป็นพฤติกรรมของมนุษย์   จึงไม่ใช่เรื่องถูกผิดของการใช้ชีวิต  เพราะเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินคนในรูปแบบของแต่ละคน  และทุกคนกำหนดรูปแบบของการใช้ชีวิตเอง รับผลของการกระทำเอง  ทำได้แต่เพียงอยู่ห่างจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เป็นพิษ  เลือกที่จะนำตัวเองไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี   ให้สมองได้จดจำแต่เรื่องราวดีๆ  ทำให้เราได้เข้าใจ ยอมรับความต่างของมนุษย์มากขึ้น  
 
                   " อย่าตัดสินความคิด จากมุมมองที่แตกต่าง "
  
 พ่อหมูตู้
 
 


บทความที่เกี่ยวข้อง
social norms
พฤติกรรมของคนเห็นแก่ตัว กับบรรทัดฐานทางสังคม
10 มี.ค. 2025
เรื่องเล่าหลอนๆตอนทำงาน #4   ที่น่าเจอกลับไม่เจอ
เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตัวเอง สมัยไปทำงานที่ต่างจังหวัด
6 มี.ค. 2025
โรคสำออย กับความอ่อนแอของจิตใจ
โรคสำออย กับความอ่อนแอของจิตใจ
6 มี.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy