เรื่องเล่าหลอนๆตอนทำงาน #4 ที่น่าเจอกลับไม่เจอ
เมื่อรู้ตัวว่าต้องเดินทางไปทำงานที่จังหวัดหนึ่งของภาคเหนือตอนล่าง ก่อนล่วงหน้า 1 สัปดาห์ คราวนี้ต้องเดินทางไปคนเดียว รู้สึกชอบจังหวัดนี้ ตอนนั้น เป็นจังหวัดในรายชื่อ ที่ไม่เคยไป ในช่วงที่เตรียมข้อมูลที่จะออกเดินทางในอีกสัปดาห์ ต้องทำเรื่องเบิกเงิน จองที่พัก เตรียมเอกสาร...... หลังจากทราบกันว่า ผมพักที่ไหน บรรดาเพื่อนๆแสนดี และพวกพี่ๆที่เคยไปทำงานมาแล้ว ก็มารวมกลุ่มเล่าเรื่องที่พวกเขาเจอมา ไม่รู้หวังดี หรือประสงค์ร้าย เอาข้อมูลใส่หัวเราก่อนไป บางคนบอกว่า ถ้าพักโรงแรมนี้ เขาเคยเจอผู้หญิงมาเข้าฝันและกลางคืนโดยผีอำ บางคนบอกว่าอย่าพักห้องชั้น 6 นะ ชั้นนั้นมีคนฆ่ากันตาย พนักงานเล่าให้เขาฟังว่าตอนดึก ลิฟท์ด้านขวาจะเปิดที่ชั้น6 โดยไม่มีคนกดตอนตีหนึ่งทุกวัน จนพนักงานของโรงแรมจะไม่มีใครใช้ลิฟท์ตัวนี้ช่วงดึกเลย บางคนเล่าว่าโรงแรมนี้สมัยก่อนเป็นสุสานเก่า หลายคนที่มาพักมักจะเจอเรื่องผีมาดึงขา ที่พีคสุดคือ มีพนักงานเล่าให้ฟังว่า เคยมีชาวต่างชาติคู่หนึ่งมาพัก ก่อนเช็คเอ้าท์ พวกเขาชมว่าโรงแรมนี้บริการดีเยี่ยม เมื่อคืนตอนกลับเข้าห้อง ขึ้นลิฟท์มา เจอพนักงานผู้หญิงแต่งชุดไทยมายืนไหว้หน้าลิฟท์อย่างสวย ก่อนพวกเขาเข้าห้องไป รู้สึกประทับใจในบริการของโรงแรม ........ พวกเขาเล่าอย่างมันส์กันไป กลายเป็นเรื่องสนุกที่พวกเราอาชีพนี้ต้องเจอเวลาออกไปทำงานที่ต่างจังหวัด ในวงสนทนาก็คงมีผมคนเดียวที่กังวลที่สุด เรื่องเล่าถูกระดมยิงเข้าหัว จนแทบจะตัดสินใจเปลี่ยนโรงแรมที่จองไปแล้ว เนื่องจากโรงแรมของจังหวัดในสมัยนั้นมีไม่มากนัก และจวนจะเดินทางแล้ว จึงไม่ได้เปลี่ยน แต่ภาพต่างๆที่ถูกนำเข้า ครอบงำให้สมองสร้างภาพสิ่งที่ต้องเจอ ตอนนั้นไม่คิดอะไร ไม่ใช่ไม่กลัว เพียงแต่คิดว่าผีน่าจะหลอกเฉพาะคนที่กินเหล้า สูบบุหรี่ เจ้าชู้ ..เพราะคนที่เล่าให้ฟังล้วนมีพฤติกรรมแบบนี้ เราน่าจะรอด และไปคราวนี้ผมมีไอเทมไปด้วย คือ ผ้ายันต์จีนจากพิธีล้างป่าช้า ผมขอจากพ่อ(พ่อผมเป็นประธานมูลนิธิประจำจังหวัด) เป็นผ้าผืนสีเขียว ใช้น้ำเลือดเขียนตัวอักษรจีนโดยเซียนในพิธีตอนนั้น พ่อว่าผืนนี้ผีกลัวนัก ให้พกติดตัวเวลาไปนอนต่างจังหวัด หลังจากที่เจอกับตัวเองมาหลายครั้ง คราวนี้ไม่ประมาทจะดีกว่า
ถึงวันที่เดินทาง ไปขึ้นรถทัวร์ที่หมอชิตช่วงเที่ยง ถึงจังหวัดบ่ายแก่ๆ เช็คอินเข้าโรงแรม ซึ่งอยู่กลางเมือง เป็นโรงแรมระดับสามดาว สูง8ชั้น โรงแรมจัดให้นอนห้องพักชั้น 4 เป็นห้องเตียงเดี่ยว สภาพโดยทั่วไปก็ปกติ โรงแรมสะอาดดี พนักงานต้อนรับเป็นอย่างดี หลังจากไปเดินหน้าตลาดที่มีของกินใกล้กับโรงแรม ก็ไม่ลืมที่จะซื้อพวงมาลัย มาไว้ศาลพระภูมิประจำโรงแรม ขึ้นห้องเสร็จ ก็อาบน้ำ ขณะที่กำลังจะขึ้นเตียงนอน ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเคาะประตู ก็ งง ก็อดจะกลัวไม่ได้ เพราะมีข้อมูลเรื่องแบบนี้ใส่หัวมาจากกรุงเทพ อดทนนอนต่อ สักพักก็ได้ยินอีก จึงไปยืนรอหน้าประตู กะว่าถ้ามีเสียงอีก จะมองตาแมวก่อน แล้วจะเปิดไปดูเลย ไม่ถึงห้านาที ยืนสังเกตุที่ประตูที่ปิดอยู่ต่อหน้า เหมือนมีลมพัดกระแทกทำให้ประตูที่เป็นไม้ กระทบกับวงกบของประตูทำให้เกิดเสียง ตามที่ได้ยิน จึงมองที่ตาแมว ไม่มีใคร เลยเปิดประตูออกไปนอกห้อง มองไปที่สุดทางเดินทั้งซ้ายและขวา ซึ่งทางโรงแรมจะกั้นกระจก โครงอลูมิเนียม มีประตูเปิดออกได้ เหมือนทางหนีไฟ จึงเข้าใจว่า เป็นเรื่องของระบบลมดันอากาศ นั่นคือ เวลาลูกค้าที่มาพักในชั้น เปิดและปิดประตูเข้าออกห้อง ขณะที่ดันปิดประตู จะเกิดการดันของอากาศในชั้นนั้น เพราะอากาศออกทางไหนไม่ได้ เมื่อเกิดความดันก็จะเกิดแรงผลักประตูเฉพาะห้องที่มีประตูกับวงกบไม่สนิทกัน พอเข้าใจแล้ว ผมก็เข้าห้องปิดประตู เอากระดาษทิชชู่อัดในช่องว่างของประตู จากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอีก เรื่องนี้ถ้าเป็นคนขวัญอ่อน และมีข้อมูลให้กลัวมาก่อน ก็คงตีความว่ามีผีมาเคาะ มาหลอก
ตั้งแต่เข้าพักที่โรงแรมนี้มา 3 คืน นอนหลับสบาย ไม่มีเรื่องตามที่พวกที่ทำงานเล่าให้ฟัง หรือเป็นเพราะผมไม่สนใจข้อมูลที่ใส่เข้ามาแล้วไม่ปรุงแต่งต่อ หรือเป็นเพราะผ้ายันต์ผืนนั้น ไม่ว่าจะยังไง อยากบอกว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ให้เราเจอกับตัวเอง แล้วตัดสินใจจะเชื่อเอง อย่าไปตัดสินใจเชื่อจากคำเล่าของคนอื่น เพราะทุกคนมีการตีความที่ต่างกัน มีเรื่องเล่าหนึ่ง ฟังมาจากพี่ รปภ.ของสาขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นทหาร เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเขาถูกเกณฑ์ไปรบกับประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนถึงสนามรบ เพื่อนของเขาได้คุยกับเขาว่า ได้ไปกราบหลวงพ่อเกจิดังแถวชายแดนสมัยนั้น และท่านให้ลูกอมกำบังกระสุนมา เขาจึงนำไปผูกเชือกห้อยคอไว้อุ่นใจเวลาออกรบ ตอนออกรบช่วงประชิดในขณะที่ปะทะกับฝั่งทหารศัตรู ขณะที่กำลังหลบอยู่ในคันนา ที่เต็มไปด้วยโคลน เขาหยิบลูกอมมาอมเข้าปาก พร้อมติดดาบปลายปืนวิ่งเข้าปะทะ อย่างกล้าหาญ ขณะที่กำลังวิ่ง ก็รู้สึกลูกอมเคลื่อนไหวได้ ยิ่งทำให้ฮึกเหิม หลวงพ่อมาช่วยแล้ว อภินิหารสุดๆ กำลังใจมาเต็ม วิ่งเข้าหา ฝ่ากระสุนที่วิ่งสวนมา เข้าไล่แทงศัตรูจนกลัว ถอยร่นไป เสร็จแล้วก็คายลูกอมออกมา ปรากฏเป็นลูกกบตัวเล็ก ส่วนลูกอมตัวจริงขาดหายไปตั้งแต่ก่อนเข้าสนามรบ นั่นคือทุกสิ่งอยู่ที่ใจล้วน
จากที่ควรจะเจอที่โรงแรมกลับไม่เจอ ดันมาเจอที่ทำงาน สาขานี้เป็นอาคารขนาด 4 ชั้นไม่รวมดาดฟ้า ชั้นที่ 1- 2- 3 ให้บริการลูกค้าทั่วไปและสินเชื่อ และห้อง Strong room เก็บเอกสารสำคัญ และตู้เซฟเก็บเงินของธนาคาร ส่วนชั้นที่4 เป็นพื้นที่เก็บของ เอกสาร ของใช้ จำได้ว่าเป็นวันก่อนสุดท้ายของการทำงานที่สาขานี้ ช่วงเย็นหลังจากธนาคารปิดบริการ ประมาณเกือบหกโมง ซึ่งตอนนั้นเป็นหน้าหนาว มืดไว ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตา ปิดงานประจำวัน มีเพียงพนักงานสินเชื่อพาขึ้นไปบนชั้น 4 เพื่อหาเอกสารที่ต้องใช้ในการเอาเข้าระบบ ที่ถูกเก็บไว้ในห้องกั้นด้วยกระจกรอบด้าน อีกด้านที่ติดกับด้านหน้าถนน รูดปิดด้วยผ้าม่านสีน้ำเงินเก่าๆ ขณะที่น้องพนักงานกำลังก้มริ้อหาเอกสารอยู่ ผมก็ยืนอยู่ใกล้ๆกัน กำลังอ่านเอกสาร หางตาผมก็เหลือบไปเห็นเงาดำๆ ขนาดเท่าคน วิ่งผ่าน ห่างจากตัวผมและน้องประมาณ 4 ก้าว และจู่ๆ กล่องเอกสารที่เก็บในชั้นวางใกล้กัน ก็หล่นลงมาเหมือนมีใครไปชน ทั้งๆที่เราทั้งสองก็อยู่ห่าง ตอนนั้นผมและน้องก็ตกใจจากเสียงของหล่น และเมื่อผมมองไปที่มุมห้องเห็นผ้าม่านเคลื่อนไหว เหมือนปลิ้วจากถูกลมพัด เรียกว่าแหวกม่านเลย ทั้งๆที่ชั้นนี้เขาไม่เปิดหน้าต่าง ไม่มีพัดลม ไม่เปิดแอร์ ตกใจและบอกน้องพนักงานรีบลงมาชั้นล่าง ไม่เอาของแล้ว พรุ่งนี้ค่อยให้พนักงานคนอื่นมาเอาให้ดีกว่า ได้แต่คิดเป็นหลักวิทยาศาสตร์ว่า น่าจะเป็นหนู วิ่งไปชนกล่อง และกระโดดขึ้นผ้าม่านหนี แต่มันก็ขัดแย้งว่า ที่เราเห็นเป็นเงาดำคล้ายคน ไม่ใส่หนูตัวเล็ก และกล่องที่หล่นลงมา มันก็หนัก หนูคงชนไม่หล่นหรอก ส่วนผ้าม่านมาแหวกเองชัดๆเต็มๆตาแบบสโลว์โมชั่น ... สรุปน่าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางมาทักทาย
พ่อหมูตู้