เรื่องเล่าหลอนๆ ตอนไปเที่ยว "โดนจับปล้ำ"
เป็นเรื่องเล่าที่ได้ประสบมากับตัวเอง ในวันหยุดพักผ่อนประจำปีเมื่อราวยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา โดยปกติผมมักจะใช้สิทธิ์ลาพักร้อน ลายาวครั้งเดียวช่วงปลายปี ทำงานหนักมาทั้งปี ก็มีช่วงนี้แหล่ะที่จะปลดปล่อย นำพาชีวิตไปใช้อย่างอิสระ หลีกหนีความวุ่นวายในสังคมเมือง เข้าตัวไปสัมผัสกับธรรมชาติ แต่ต้องแลกมาด้วยความโดดเดี่ยว ขับรถคนเดียว เมื่อยก็พัก ง่วงก็ล้างหน้า ยิ้มกับตัวเอง น้ำตาซึมแค่ลมพัดผ่าน นั่งกินข้าวท่ามกลางคนแปลกหน้า ข่มตาให้หลับกับสถานที่ใหม่ ....... ที่สำคัญสำหรับคนเดินทางคนเดียวแบบนี้ คือ ห้ามกลัวสิ่งใด โดยต้องไม่ประมาท ต้องมีใจที่ชนะความคิด คราวนี้ผมเลือกเดินทางไปอีสานตอนบน จังหวัดติดแม่น้ำโขง สาเหตุที่เลือกไปจังหวัดนี้เพราะ ต้องการไป Refresh บรรยากาศเดิมๆที่เคยไปสมัยตอนทำงานใหม่ๆ และเป็นเมืองที่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสงบ มีวัดเยอะมาก การเดินทางครั้งนี้ถูกเตรียมแผนไม่กี่วัน สมัยนั้นยังไม่มีข้อมูลข่าวสารเรื่องการท่องเที่ยวมากนัก ไม่ว่าที่พัก ร้านอาหาร มือถือที่ใช้ยังเป็นแบบกดปุ่มเลย ดีที่สมัยนั้นรถบนถนนไม่ได้เยอะเหมือนทุกวันนี้ ขับได้สบายตลอดทาง ใช้ความเร็วได้ อากาศก็ไม่ร้อนมากเหมือนทุกวันนี้ ขับรถออกจากกรุงเทพ ถึงตัวเมืองของจังหวัดเกือบหกโมงเย็น ผมเรียกการขับรถแบบนี้ว่า "ดิ่งอย่างเดียว เยี่ยวในรถ" ต้องบอกว่า สมัยนั้น ไม่มีเซเว่นตามปั้มให้เข้าซื้อของ ปั้มน้ำมันเติมน้ำมันอย่างเดียว ยังไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไม่มีร้านอาหารบริการ เช็คอินเข้าที่พัก ซึ่งโทรมาจองไว้ นอน 5 คืน เป็นโรงแรมระดับ4ดาว ริมแม่น้ำโขง ซึ่งในสมัยนั้นมีโรงแรมดีๆไม่กี่ที่ รอบโรงแรมร่มเย็นเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ๆ โลเกชั่นของโรงแรมอยู่ส่วนโค้งของแม่น้ำ หน้าหาดกว้าง กลางวันจะมองเห็นคนหาปลาในแม่น้ำ มองไปเห็นอีกฝั่งคือ สปป.ลาว หลังจากเข้าห้องพักซึ่งอยู่ชั้น 5 ได้ห้องริมสุดทางเดินของโรงแรม ใกล้ทางหนีไฟ ได้เก็บของ แล้วออกมาหาข้าวมื้อเย็นกิน ในตลาดตัวเมือง ในเมืองนี้ไม่ถึงสองทุ่ม ชาวบ้านปิดบ้านเขานอนกันแล้ว คนต่างจังหวัดในช่วงนั้น จะนอนไว ตื่นเช้า กลับเข้ามาโรงแรม สองทุ่มกว่า เข้าห้องก็ได้ยินเสียงเหมือนลากของบนเพดาน ซึ่งเป็นคอนกรีต เสียงดังอิ๊ดอ๊าด ดังเป็นช่วง คิดตอนนั้นคือ ห้องข้างบนคงลากเก้าอี้ หรือมีเด็กเล่นลากโต๊ะกัน แต่ก็ งง เพราะพื้นห้องที่อยู่ปูพรม ทุกห้องน่าจะเป็นแบบเดียวกัน แล้วมาจะมีเสียงได้ไง ไม่คิดอะไรมาก อาบน้ำ นอน ในคืนแรกเสียงลากโต๊ะ ก็ดังทั้งคืน แต่เป็นช่วงๆ ดังแล้ว ก็หายไปสักพัก แล้วก็ดังอีก คงเพราะความเพลียจากการขับรถ ก็นอนหลับโดยไม่สนใจกับเสียง อยากดัง ดังไป ตรูจะนอน .......
วันที่สองของการเดินทาง ขับรถตระเวนเที่ยววัดทั้งวัน ซึ่งแต่ละวัดอยู่ห่างกันหลายสิบกิโล รู้สึกดีที่ได้กราบเกจิดังๆ ส่วนตัวชอบเข้าไปนั่งพักในโบสถ์ รู้สึกเย็นสบายตัว โดยเฉพาะวัดเก่าๆ ชอบนั่งมองพระพักตร์ขององค์พระประธาน บางวัดนั่งนานเกือบชั่วโมง เหมือนได้พักกาย สบายจิต บางวัดก็นั่งสมาธิได้เลย เพราะไม่มีใครในโบสถ์ เวลามององค์พระประธานทีไร อดนึกคิดถึงเรื่องเวลาคนเข้าวัดมาไหว้พระ มักจะมาขอให้บันดาลสิ่งต่างๆให้ วันๆหนึ่งหลายคน องค์พระก็มีเพียงหนึ่งเดียว จะเอาพลังที่ไหนมาบันดาลให้กับลูกช้างทุกคน ถ้าท่านพูดได้ก็คงพูดว่า "อยากได้อยากมี ต้องทำเองนะโยม" ได้มาเที่ยววัดตามต่างจังหวัด รู้สึกได้รับพลังงานดีๆกลับโรงแรม ตอนนั้นยังไม่มีคาเฟ่ หรือแหล่งท่องเที่ยวที่คนสร้างขึ้นแบบในปัจจุบัน ส่วนใหญ่คนจะเที่ยวธรรมชาติที่มีซึ่งสมัยนั้น ยังไม่ได้ถูกมนุษย์กระทำมากนัก กว่าจะเข้าห้องได้ปาไปสองทุ่ม เปิดเข้าห้องไปสักพัก แอร์ยังไม่เย็นเลย ขณะนั่งบนเตียง กำลังเอาของออกจากกระเป๋า ก็ได้ยินเสียงเหมือนผู้หญิงร้องเพลง อยู่บริเวณด้านห้องน้ำ ซึ่งเป็นตู้ใส่เสื้อผ้าด้านหน้าทางเข้า ตอนแรกก็ตกใจ เป็นเสียงเบาๆ ฟังไม่ออกว่าเป็นเพลงอะไร ภาษาใด จึงตัดสินใจเดินไป ยืนฟังเสียงสักพัก คิดว่าคงเป็นเสียงจากข้างห้อง หรือมาจากช่องบันไดหนีไฟ จึงเดินเปิดประตูออกนอกห้อง ไปเปิดดูตรงช่องหนีไฟ อาจมีคนมาเปิดเพลง ก็ไม่เจอสิ่งใด และกลับเข้าออกมา จากประสบการณ์เวลาห้องข้างๆเปิดทีวีเสียงดัง แรงสั่งสะเทือนของเสียงอาจทะลุมาห้องข้างๆได้ แต่อาจเป็นเสียงเล็กๆ เวลาเอาหูแนบผนังจะได้ยินเสียงชัดกว่า ก็ลองเอาหูแนบฟัง ปรากฏเสียงเงียบไป น่าจะเป็นเพราะข้างห้องเปิดทีวีดู และปิด อาบน้ำแล้วออกมานั่งจิบเบียร์กระป๋องตรงระเบียงมองบรรยากาศริมแม่น้ำโขงตอนค่ำคืน ปล่อยความคิดในอดีตไปกับความมืด มีเพียงเสียงจากทีวีเป็นเพื่อน เพราะเหนื่อยกับการขับรถทั้งวัน ได้เอนตัวหลับไปสักพัก ก็ตื่นมานอนบนเตียง ได้ยินเสียง อิ๊ดอ๊าด บนเพดานอีกแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ เพราะง่วงมาก เลยหลับไป.......... กลางดึก รู้สึกสะสึมสะลือ เหมือนมีสติ แต่ร่างกายขยับไม่ได้ ตอนนั้นพยายามสั่งให้มือ ขาขยับ แต่ร่างกายไม่ได้ตอบรับ คล้ายมีใครจับกดไว้ จะบอกว่าฝัน ก็รู้ตัวว่าตื่นอยู่ แต่ตายังหลับอยู่ ในความคิด รู้สึกคล้ายเงาดำผมยาวมาทับร่างไว้ ในเมื่อดิ้นขัดขืนไม่ได้ จึงตั้งสมาธิ ตวาดออกไปในความคิดว่า "ออกไป" พร้อมขยับตัวอย่างแรง ตื่นมาแบบ งง อีหยังว่ะ คงเป็นเพราะร่างกายเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน แขนขาอาจเป็นตะคริว ที่คนเรียกกันว่า "ผีอำ" แล้วก็นอนต่อ ง่วงมาก
วันที่สาม ตื่นมาคิดทบทวนเรื่องที่เกิดเมื่อคืน ว่าจะขอเปลี่ยนห้องจะดีไหม๊ เพราะยังต้องนอนต่ออีกสามคืน แต่มาคิดดูอีกทีว่า ถ้ามักเป็นเรื่องผีหลอก ถึงแม้เราเปลี่ยนห้องก็ตาม ถ้ามันเป็นผี มันก็คงตามไปได้ทุกห้องของโรงแรม เพราะทุกห้องไม่ได้มีเจ้าที่เจ้าทางประจำห้อง หรือประจำชั้น และที่พักมาสองคืน ก็ไม่ได้มาทำร้ายอะไรกัน แค่มาทักทาย อดทนนอนอีกสามคืนก็กลับแล้ว และที่ยังไม่เล่าอีกเรื่องคือ ตั้งแต่เข้าห้องมาในวันแรก มักมีเสียงในห้องน้ำ เหมือนมีคนกำลังใช้ห้องน้ำ เช่น เสียงน้ำก๊อก เสียงชักโครกดัง เสียงดังแปลก ดังออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งไม่ได้ให้ความสนใจ และไม่ปรุงแต่งต่อ เนื่องจากเป็นเสียงเล็กๆไม่ได้ทำให้รบกวนมาก วันนี้มีแผนว่า จะเดินทางไปไหว้พระธาตุ ซึ่งอยู่ไกลจากตัวเมืองหลายสิบกิโล และอยากไปนั่งกินอาหารเวียดนามร้านดังแถวริมโขง ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้า ขับรถลุยเที่ยว จนถึงเย็น เนื่องจากปวดเมื่อยตัวมาก จึงแวะร้านนวด นอนนวดอีกสองชั่วโมง จะได้ไม่ต้องโดนผีอำอีก ระหว่างนวด คนนวดก็ถามว่าพักที่ไหน เราก็ตอบไป น้องคนนวดก็พูดว่า "พี่พักโรงแรมนี้เหรอ มีลูกค้าหลายคนเจอนะ " เราเงียบ ไม่ถามต่อ เพราะคิดว่า เขาคงหยอกเล่น จึงเปลี่ยนเรื่องไปสนทนาเรื่องอื่นๆ วันนี้เข้าห้องเกือบสามทุ่ม อาบน้ำเสร็จ ก็นอนดูทีวี จนคล้อยหลับไป คืนนี้ ฝันว่า มีผู้หญิงผมยาว หน้าตาดี ผิวขาว นุ่งผ้าขนหนูสีขาว กระโจมอก เดินมาหาและบอกว่า "หนูชอบพี่ค่ะ" พูดเสร็จก็กระโดดมาปล้ำเรา แต่เราขัดขืน กอดรัดฟัดเหวี่ยง ดิ้นหลุดออกมา วิ่งหนีไปตามทางคล้ายกับทางในหมู่บ้าน เธอก็วิ่งตามหลังมา วิ่งมาเจอจักรยานจอดอยู่ ขึ้นจักรยานได้ก็ปั่นหนีอย่างสุดชีวิต ไปเข้าวัดเก่าๆ ต้นไม้ทึบๆ .....แล้วก็สะดุ้งตื่นในกลางดึก แล้วหลับต่อ คงเป็นเพราะตอนกลางวันกินอาหารอร่อยมากเกินไป และไปเจอกับหลายคน จึงเอามาฝันแปลกๆ ลองคิดดู ถ้าใครเคยไปเที่ยวคนเดียวแบบผม เวลาไปนั่งกินอาหารเวียดนามตามร้าน ก็อยากจะกินทุกอย่างในเมนู เพราะนานๆมาที ดูหน้าตาอาหารก็น่ากินทุกรายการ แต่ปัญหาคือ ต้องกินคนเดียว จะกินได้สักเท่าไหร่ แต่เวลาสั่งก็ดันสั่งหลายรายการ กินจนพุงจะแตก ก็กินไม่หมด และไม่ใช่เป็นคนกินมาก เสียดายของ ต้องให้ร้านใส่กล่องให้เรียบร้อย เอามาแจก รปภ.โรงแรม
วันที่สี่ ออกจากโรงแรมเช้า เพื่อนั่งเรือข้ามไปฝั่งลาว จ้างไกด์ท้องถิ่นขับรถพาเที่ยว ไปถ่ายรูปวิถีชีวิตของคน สปป.ลาว ซึ่งเป็นวิถีเรียบง่าย ความเป็นอยู่คล้ายบ้านเราเมื่อหลายสิบปี สปป.ลาว ฝั่งนี้จะไม่ค่อยมีอะไรเที่ยวนัก ต่างกับทางฝั่งเวียงจันทน์ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวเยอะกว่า มีของกินมากกว่า กลับมาช่วงบ่ายๆ จึงมานอนผึ่งพุงในห้องแอร์เย็นๆ หลับไปจนถึงเย็น ตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัว ออกไปนั่งกินข้าวร้านหนึ่งที่เล็งไว้เมื่อตอนกลางวัน กลับเข้าโรงแรมสามทุ่มกว่า ตอนเปิดประตูเข้าห้อง ยังไม่ได้เปิดไฟ มองไปที่หน้าต่าง ซึ่งเป็นกระจกใส ผมเปิดผ้าม่านไว้ก่อนไป ภาพแรกที่เห็น และทำให้ตกใจคือ คล้ายผ้าสีขาว ขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร ลอยผ่านด้านนอกหน้าต่างอย่างไว เมื่อไฟเปิดขึ้น ผมรีบวิ่งไปเลื่อนประตูกระจก ออกมาดูด้านนอก ก็ไม่เจออะไร เพราะมืดไปหมด มีเพียงแสงไฟสนามข้างโรงแรมบริเวณหน้าหาดเท่านั้น สมองก็สร้างเหตุผลมาอธิบาย " สงสัยคนที่พักอยู่ชั้นบน โยนกระดาษทิชชูลงมา ปลิวออกตามลมไปด้านล่าง " หรือ "ลมแรงพัดเอาถุงพลาสติก ลอยขึ้นมาพอดี กับจังหวะที่เปิดห้องมาเห็น " แล้วก็หยุดปรุงแต่ง คืนนี้นั่งจิบเบียร์ไปหลายกระป๋อง เพื่อสุขภาพให้นอนหลับสบาย ได้ยินทุกอย่างเป็นเรื่องเคยชินแล้ว ไม่ว่าจะ เสียงเปิดน้ำในห้องน้ำ เสียงอิ๊ดอ๊าดบนเพดาน ไม่สนใจ นอนต่อ สักพักก็เงียบไป
วันที่ห้า ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้า ขับรถไปจังหวัดใกล้เคียงเพื่อไปวัดดังแห่งหนึ่ง วันนี้เที่ยวแบบสบาย ไม่เร่งรีบ เส้นทางเดินทางไปวัด ไม่ค่อยมีร้านอาหารเลย ร้านกาแฟไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเลย ต้องแวะร้านไก่ย่างข้างทาง ซื้อไก่ย่างกับข้าวเหนียวนึ่ง มานั่งกินบนลานหินใต้ต้นโพธิ์ยักษ์ภายในวัด หลังจากกราบหลวงพ่อแล้ว บรรยากาศในวัดขณะนั้นรู้สึกร่มเย็น สบาย เรียกได้ว่า สามารถนอนเล่นหลับได้เลย ยังจำเสียงใบโพธิ์พัดตามแรงลม คิดถึงทีไร รู้สึกผ่อนคลาย คิดตอนนั้นว่า ถ้ามีที่ดินกว้างๆ จะปลูกต้นโพธิ์สักต้นไว้กลางที่ดิน แล้วทำลานแบบนี้ เอาไว้นอนพักผ่อน เอาไว้รับแขก ขับรถกลับมาถึงโรงแรมประมาณบ่ายสี่โมง เก็บของแล้วลงไปเดินเล่นหาดริมโขง พร้อมกล้องคู่ใจ เดินเล่นรอบโรงแรมจนมืด วันนี้ไม่ออกไปไหน นั่งกินอาหารที่ร้านของโรงแรม ขึ้นมาห้องประมาณสองทุ่มกว่า เข้าห้องมา นั่งดูทีวีสักพัก ไฟในห้องก็ดับ มีเพียงแสงจากข้างนอกที่ส่องเข้ามา คิดว่าโรงแรมในต่างจังหวัดน่าจะมีปัญหาเรื่องระบบจ่ายไฟ ไฟฟ้ามักจะดับเป็นประจำ จึงเดินมาเปิดประตูห้อง ไม่อยากอยู่ในห้องมืดๆคนเดียว และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ภายนอกห้องไฟไม่ดับ ดับเฉพาะห้องของเราคนเดียว เคยเจอประสบการณ์แบบนี้ที่เคยเล่าใน ตอนเรื่องเล่าหลอนๆตอนทำงาน #2 "ต้อนรับน้องใหม่" เดินลงมาแจ้งที่เคาน์เตอร์ด้านล่างว่าไฟดับที่ห้อง เดินตามพนักงานขึ้นมาห้อง พอเปิดห้องมาปรากฏไฟฟ้าติดสว่างเป็นปกติ งง อิหยังว่ะ คิดว่านอนแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็เดินทางแล้ว คืนนี้ไม่มีอะไร นอนหลับสบาย กับความคุ้นชินที่เห็นเป็นปกติ
กับการเดินทางคนเดียว ที่ต้องมาพบเจอกับเรื่องแปลกๆ แต่ก่อนมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะ ความไม่รับรู้ข้อมูลใดๆ ไม่ปรุงแต่งกับความคิด ใจเราสำคัญ เอาชนะได้ทุกสิ่ง ใจเป็นนายของความคิด อย่าให้ความคิดที่ถูกปรุงแต่งมาชนะใจ ไม่งั้นความคิดจะสร้างความกลัวมาหลอกหลอน ยิ่งกว่าผีที่คิดว่ามาหลอก ไม่เคยคิดจะมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง ผ่านมาหลายสิบปี ได้ฟังเรื่องเล่าต่างๆในรายการผี ก็พึ่งจะทราบว่าที่เราเจอมาคล้ายกับหลายคนเล่า เพียงแต่ไม่ได้เจอเป็นตัว เป็นรูปร่างชัดเจน หมดทริปจังหวัดนี้ 6 วัน 5 คืน ผมก็ต้องเดินทางต่อไปอีกจังหวัดโซนอีสานตอนบน เพื่อข้ามฝั่งไปนอนเวียงจันทน์ เพราะเหลือวันลาพักร้อนอีกหลายวัน อยากบอกว่า สถานที่ที่จะไปต่อ มีเรื่องน่าสนใจอีก คอยติดตามครับ
พ่อหมูตู้