อาหารตามสั่ง
อ่านเจอว่า ประเทศไทยเริ่มมีอาหารนอกบ้านบริการ พวกข้าวแกงในตลาด ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาแล้ว จวบจนมาถึงปัจจุบัน คนที่ต้องออกมาทำงานนอกบ้าน เกือบทุกคนต้องกินอาหารตามสั่งกันทั้งนั้น คนในสมัยก่อนเขาใช้เครื่องปรุงอาหารไม่กี่อย่าง ได้แก่ กะปิ น้ำตาลมะพร้าว กะทิ น้ำมะขาม เกลือ... น้ำตาลทรายขาวพึ่งเริ่มใช้อย่างแพร่หลายในปี พ.ศ.2480 ส่วนน้ำปลาเกิดขึ้นสมัยอยุธยาตอนปลาย ตามมาด้วยพวกซอสถั่วเหลือง น้ำมันหอย และซีอิ้ว เข้ามาพร้อมชาวจีนที่อพยพเข้ามาเมื่อราวประมาณ 60-80 ปีก่อน แรกๆใช้ในวงแคบ ในหมู่ชุมชนชาวคนจีนเท่านั้น เวลาผ่านมาก็เริ่มใช้น้ำตาลทรายขาวปรุงแทนน้ำตาลมะพร้าว ใช้น้ำปลาปรุงแทนเกลือ จวบจนมาถึงปัจจุบันอาหารตามสั่งเป็นที่นิยมมาก เรียกได้ว่า มีร้านผุดขึ้นมากมาย เพื่อรองรับพฤติกรรมการกินของคนสมัยนี้ ผมจะพูดถึงเฉพาะกลุ่มเครื่องปรุงรส ที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ทุกครัวเรือน ทุกร้าน ต้องมีประจำครัว เรียกว่า ขาดไม่ได้ ได้แก่พวก ซอยถั่วเหลือง(ซีอิ้ว) ซอยหอยนางรม ซอสปรุงรส คนไทยนิยมกินอาหารที่มีการปรุงโดยเครื่องปรุงรสกลุ่มนี้อย่างแพร่หลาย แทบเรียกได้ว่าเกือบทุกร้านอาหารตามสั่ง รวมถึงในครัวที่บ้าน ขาดไม่ได้ ต้องมี เป็นเหมือนไอเทมหลักในการใช้ปรุงอาหารตามสั่ง ตลาดการสินค้ากลุ่มนี้เติบโตอย่างมาก เพราะเครื่องปรุงกลุ่มนี้มักจะถูกปรุงใส่เกือบทุกเมนู โดยเฉพาะผัดกระเพรา ผัดผัก อาหารสุดฮิตของคนไทย เราลองทบทวนพฤติกรรมการกินของตัวเองว่า ทุกวันนี้เรากินอาหารที่มีการใส่เครื่องปรุงกลุ่มนี้ มากเท่าไหร่ต่อวัน กินบ่อยไหม๊ และสะสมมาแล้วกี่ปี
จากการสำรวจการบริโภคโซเดียมคลอไรด์ของประชากรไทย ปี 2566 พบว่า ประชากรไทยได้รับโซเดียมจากอาหารที่บริโภคเฉลี่ย 3,636 มก./วัน ซึ่งมากกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้ประชาชนบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มก./วัน การได้รับโซเดียมในปริมาณสูงเกินกว่าคำแนะนำ มีผลโดยตรงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ทำให้ไตเสื่อมเร็ว ปัจจุบันพบคนไข้ป่วยเป็นโรคไตหรือไตวายอายุน้อยลงอยู่ที่ 3540 ปี จากเดิมที่อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 5060 ปี ซึ่งเกิดจากวิถีการกินของคนในปัจจุบัน ดูเหมือนเราจะถูกครอบงำการกินให้ต้องกินรสชาดแบบนี้มานาน ข้อสังเกตุส่วนตัวผม ว่าคนไทยติดอาหารที่มีรสชาด หวาน เค็ม ประเด็นคือ ทุกครั้งที่เรากินอาหารเหล่านี้เข้าไปในร่างกายของเรา เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ปริมาณโซเดียมคลอไรด์ที่เรากินเข้าไปเท่าไหร่ เพราะเราคงไม่พกเครื่องวัดไปด้วยเวลากินทุกครั้ง และผมก็ฝันไปว่า ถ้าทุกร้านอาหารตามสั่ง จะมีการบอกค่าปริมาณโซเดียมต่อจาน บนป้ายเมนู และถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง มันคงจะดีสำหรับสุขภาพคนไทย ก็ได้แค่ฝันไป ขนาดราคาข้าวกระเพราของแต่ละร้าน ก็ยังไม่สามารถควบคุมได้เลย วันดีคืนดี ขึ้นราคากันเอง อ้างเนื้อหมูแพง น้ำมัน เครื่องปรุง ผักแพงขึ้น ..... แต่พอตอนวัตถุดิบราคาลดลง ก็ไม่เห็นจะลดราคาลงบ้าง เหมือนขึ้นแล้ว ลงไม่ได้ และเป็นสินค้าที่สามารถขึ้นราคากันเองได้ตามความปรารถนาของผู้ขาย กลไกการซื้อขายควบคุมกันเอง ตั้งราคาแพง ก็จะไม่มีคนซื้อ ยกเว้นว่า จะอร่อยจริงๆ
จึงไม่แปลกว่า คุณทวด คุณยาย คุณตา ของผมล้วนมีอายุร้อยปี พฤติกรรมการกินแตกต่างกันกับคนในยุคปัจจุบันมาก อย่างว่า แต่ก่อนน้ำฝนกินได้ ต้มผัก กินปลา ผักเอาจากสวนหลังบ้าน กินผลไม้ท้องถิ่น กินไม่รสจัด ....... สมัยนี้อายุเฉลี่ยของคนลดลง เพราะตั้งแต่วัยเด็ก พ่อแม่ก็ตามใจให้กินแต่อาหารสำเร็จรูป ขนมถุง อาหารนอกบ้าน ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการกินของเด็ก (พ่อแม่รังแกฉัน)
ตอนนี้ที่ทำได้แค่ ซื้อวัตถุดิบมาทำกินเองที่บ้าน แล้วก็ใส่เครื่องปรุงพวกนี้ในปริมาณที่น้อยลง (อร่อยน้อยลง) หรือเลือกปรุงอาหารที่หลีกเลี่ยงการกินเค็ม ปล่อยให้เป็นปัญหาของคนที่ต้องออกนอกบ้านไปทำงานทุกวัน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องดูแลการกินตัวเอง ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ดูแลสุขภาพตัวเอง อย่าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินอย่างเดียว โดยไม่สนเรื่องคุณภาพการกิน จะกลายเป็น ทำงานหาเงินทั้งชีวิต แล้วก็เอาเงินที่เก็บ มารักษาตัวเองในยามป่วย
พ่อหมูตู้