"มือหนัก ปากแข็ง" โรคที่เป็นแล้ว ไม่รู้ตัว
พ่อแม่สั่งสอนผมตั้งแต่เด็กว่า "ถ้าทำผิด เราต้องยอมรับและขอโทษ" ผมก็เชื่อว่า หลายคนก็คงถูกสอนมาเช่นนี้เหมือนกัน ผมชอบตั้งคำถามกับตัวเอง เพื่อฝึกกระบวนความคิดอย่างมีเหตุผล และเพื่อให้ตัวเองได้เข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น มีคำถามหนึ่งที่ถามตัวเองว่า ทำไมตอนเด็ก ผมยกมือขึ้นไหว้พร้อมพูดคำว่า "ขอโทษครับ" ได้ง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมทำผิดพลาดเล็กๆน้อย เช่น เดินสะดุ้งเตะของ มาไม่ตรงเวลา ทำของหล่น ......ตลอดจนถึงเรื่องที่เคยทำผิดพลาด สร้างปัญหาให้คนรอบข้างต้องปวดหัว แต่ทำไม? เมื่อผมเติบโตมาจนเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้ มีการศึกษามากขึ้น มีสังคมมากขึ้น มีหน้าที่การงานที่ดี มีการเป็นอยู่ที่ดี แต่มือของผมกับหนักขึ้น ยกมือขึ้นไหว้คนยากขึ้น ปากของผมแข็งขึ้น ไม่ค่อยพูดคำว่า "ขอโทษ" ง่ายๆ ไม่เหมือนในตอนเด็ก มันเป็นที่อะไรล่ะ ...
หนึ่งในระบบกลไกการป้องกันตนเองของมนุษย์ (Defense Mechannisms) ของ Sigmund Freud คือ การอ้างเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) เป็นกลไกของมนุษย์ที่พยายามให้เหตุผลหรืออธิบายความล้มเหลวบกพร่องของตนเอง เพื่อบรรเทาความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นจากปัญหา กลไกการป้องกันตนเองนี้เรียกง่ายว่า "การแก้ตัว" ซึ่งเป็นกลไกที่มนุษย์มักใช้มากที่สุด ผมว่าทุกคนก็คงเคยเป็นกัน หรือไม่อาจปฏิเสธว่า ไม่เคยใช้วิธีนี้มาก่อน
ในวัยเด็ก จิตยังไม่ได้ถูกปรุงแต่ง หรือถูกกิเลสมาครอบงำ จิตยังไม่เปรอะเปื้อน ตัวตนหรืออัตตา (ego) ยังไม่เกิดการยึดติด อาจมีบ้างแต่ก็น้อย เมื่อเติบโต เข้าสู่วัฏจักรชีวิตของระบบสังคมที่ถูกกำหนดรูปแบบให้ ทุกคนต้องเดินตาม เพื่อเอาตัวรอดในการใช้ชีวิต และอยู่ในสังคมได้อย่างไม่ลำบาก เป็นรูปแบบของคนทั่วไปส่วนใหญ่เลือกใช้ชีวิต คือ ทุกคนต้องเรียนหนังสือตามหลักสูตรตั้งแต่ระดับเด็ก จนถึงระดับผู้ใหญ่ เมื่อเรียนจบ ไม่ว่าจะเป็นระดับใด ก็ต้องทำงาน หรือหางานทำ เพื่อให้มีเงินใช้ มีหน้าที่ มีตำแหน่ง มีลาภยศ .... เป็นที่ยอมรับ ทุกคนต่างทำซ้ำๆระหว่าง ไปทำงานตอนเช้า เย็นกลับบ้าน ทำซ้ำๆหลายสิบปี จนคุ้นชินเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ระหว่างทาง ก็สร้างครอบครัว สร้างมิตรภาพ สร้างเครือข่าย สร้างตัวเอง จนถึงเกษียณ ทุกคนล้วนมีบริบทของเดินทางในแต่ละช่วงของไทม์ไลน์ที่ต่างกัน มีการเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ของการใช้ชีวิตต่างกัน อยู่ที่ต้นทุน ความพยายาม ความมุ่งมั่น ความฉลาด ความเก่ง .... ทุกสิ่งที่เจอกันมาจะหล่อหลอมความเป็นตัวตน(อัตตา)ขึ้นมา ให้ยึดติด ยึดมั่นว่า เป็นตัวกู ของกู
เมื่อแต่ละคนมีอัตตา และยึดมั่นความเป็นตัวตน ถึงแม้เราทำผิด และถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้ยอมรับและขอโทษ มันไม่ง่ายที่จะทำ เพราะเกิดความไม่คล้องจองของปัญญา (cognitive dissonance : Leon Festinger,1957) คือภาวะที่ส่วนของปัญญา ได้แก่ ความรู้ ความเชื่อ เจตคติ ความคิดเห็น และค่านิยมที่บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความสัมพันธ์กันแบบไม่คล้องจอง หรือขัดแย้งกัน ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ไม่ยอมรับ จนถึงต่อต้าน จึงต้องพยายามลดความไม่คล้องจองทางปัญญาที่เกิดขึ้น และเพิ่มความกลมกลืนเพื่อลดความไม่สบายใจนั้น นั่นก็คือระบบกลไกของการป้องกันตนเองเริ่มทำงาน เลือกที่จะ "แก้ตัว" ไม่ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อเราถูกตำหนิเรื่องงานซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของเรา หากการยอมรับความผิด ทำให้อัตตาของเราถูกลดทอน จนรู้สึกถูกด้อยค่า น่าอับอาย โง่เขลา ไร้ความสามารถ ...เราจึงเลือกที่จะแก้ตัว เพื่อปกป้องตัวจากความรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ยอมรับ ปิดบังความไม่มั่นคงของตัวเอง และปกป้องอัตตาของตัวเองซึ่งถูกคุกคาม เมื่อความผิดพลาดถูกเปิดเผย รู้ทั้งรู้ว่าไม่ดี (เกิดความขัดแย้งภายใน) แต่ก็ต้องทำ เหมือนจะหลอกตัวเองให้เชื่อและทำแบบเดิมต่อไป
ถึงแม้มนุษย์มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดและผลักไสความผิดของตัวเอง ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ตาม หากเราเสพติด(addict) การแก้ตัว ใช้มันบ่อยๆ จนเป็นนิสัย ยากที่จะเลิกได้ ทั้งที่ในชีวิตของทุกคนต่างก็รู้ว่า ไม่มีใครที่ทำงานแล้ว ไม่เคยผิดผลาด มีแต่คนที่ไม่ทำงานเท่านั้นที่ไม่ผิดพลาด อยู่ที่การตอบสนองหรือการรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เราจะเลือกแก้ตัวเพื่อเอาตัวรอด หรือกล้าที่จะยอมรับและแก้ไข เพื่อเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง เช่นเดียวกัน หากทำแต่ความผิดพลาด และเอาแต่พูด "ขอโทษ" บ่อยๆ พร่ำเพรื่อจนเป็นนิสัย นั่นคือการไม่คิดจะแก้ไข หรือแก้ไม่ถูกวิธี ทำตัวให้ผ่านพ้นปัญหาเพื่ออยู่รอดไปวันๆ สำหรับผมมองคนพวกนี้ว่า เขากำลังลดคุณค่าของตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง ทำตัวให้ขาดความน่าเชื่อถือ และมองว่าเป็นการโกหกอีกรูปแบบหนึ่ง
มันจะดี ถ้าเราหัดที่จะยอมรับความผิดพลาด ลดอัตตา ลดความเป็นตัวเองลง ปล่อยให้เป็นไปตามเหตุแห่งปัจจัย ไม่ต้องปกป้องอัตตา จนลืมหูลืมตามองไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง
" คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว คนชั่วชอบทำลาย คนมักง่ายชอบทิ้ง คนจริงชอบทำ คนระยำชอบติ " หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
พ่อหมูตู้