เรื่องเล่าหลอนๆตอนทำงาน #3 ปฐมบทการเข้าสู่วงการพระเครื่อง
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่พบเจอ ในช่วงของการเดินทางไปทำงานที่จังหวัดในภาคกลาง คราวนี้ผมไปกับรุ่นน้องชื่อ"เจย์" เราเดินทางโดยรถไฟ ในเที่ยวกลางคืน ถึงอำเภอ. เวลาประมาณเกือบตีสาม จากนั้นก็เดินข้ามทางรถไฟ เข้าโรงแรมที่จองไว้แล้ว เป็นโรงแรมที่ทีมงานมักจะมาพักเป็นประจำ เนื่องจากใกล้กับสถานีรถไฟ ซึ่งสะดวกในการเดินทางไปกลับ ก่อนเดินทางมาพี่ทีมตรวจสอบที่เคยมาพักก่อนหน้า เล่าให้ฟังว่า พี่เขาเจอผีหลอกที่โรงแรมนี้ เพราะตอนเข้าห้องพัก ดันเอากล่องที่ใส่รองเท้าส้นสูงมาวางไว้บริวณหัวเตียง ตกกลางคืนฝันว่า มีผู้หญิงใส่ชุดไทย ทำหน้าโกรธ มายืนชี้หน้าให้เอารองเท้าลง และพี่เขาก็เจอเสียงวิ่งไล่ระหว่างทางเดินตอนออกจากลิฟท์ก่อนเข้าห้อง ผมก็ได้แต่ฟังเพื่อความบันเทิง เพราะเข้าใจว่า เป็นเรื่องปรุงแต่งส่วนบุคคล ถึงโรงแรม พวกเราก็ได้เช็คอินที่เคาน์เตอร์ ซึ่งในช่วงตีสาม โรงแรมเปิดไฟไม่กี่ดวง มีพนักงานอยู่ประจำเคาน์เตอร์เพียงคนเดียว หลังจากได้กุญแจแล้ว พวกเราก็ขึ้นลิฟท์ ลากกระเป๋าไปเข้าห้องเอง เราได้ห้องชั้น 4 เนื่องจากเวลานั้นดึกมากแล้ว วางสัมภาระได้ ต่างคนต่างก็ล้มตัวนอนกันเลย เพราะพรุ่งนี้เช้าก็ต้องรีบตื่นไปทำงานที่สาขา เตียงที่นอนจะเป็น เตียงคู่ เตียงติดห้องน้ำ กับเตียงติดหน้าต่าง เจ้าเจย์เลือกเตียงติดห้องน้ำ ผมจึงได้นอนเตียงติดหน้าต่าง ผนังบนหัวเตียงจะเป็นแผ่นกรอบไม้ มีหวายสาน รูปสี่เหลี่ยม ส่วนองค์ประกอบอื่นของห้องก็เป็นเหมือนห้องทั่วไปเกรดสามดาว ผมนอนกำลังจะเคลิ้มหลับ จู่ๆก็มีเสียงเหมือนเราเปิดวิทยุกำลังจูนหาคลื่น วิ่งมาที่ผนังหัวเตียงที่ผมกำลังนอนอยู่ ผมได้แต่ตั้งสติ นอนฟังเสียง สักพักเสียงเปลี่ยนไป เหมือนใครเอานิ้วดีดที่หัวเตียง เป็นจังหวะ ไม่ดังนัก ผมพยายามเอาหลักวิทยาศาตร์ที่ไม่มีสอนในห้องเรียนมาวิเคราะห์ น่าจะเป็นจิ้งจกสองตัวกำลังเริงรัก หรือกัดกัน แล้วเอาหางตีผนังเป็นจังหวะ เพื่อให้เกิดความสบายใจ เสียงเคาะไม่ยอมหยุด หันมาดูเจ้าเจย์ ดูเหมือนหลับไปแล้ว อดทนนอนฟังเสียงสักพัก ตัดสินใจเปิดไฟหัวเตียง ลุกขึ้นดููต้นกำเนิดเสียง เสียงก็หายไป ไม่เจออะไร ก็เอาหลักวิทยาศาตร์มาใช้อีก น่าจะเป็นระบบหูของเราที่พึ่งเดินทางมา แล้วล้มตัวนอน ทำให้เกิดอาการวิ้งในหูไปเอง เสียงที่ได้ยินคือเสียงสะท้อนในระบบหู ใช้กระดาษทิชชูมาแหย่หู เผื่อดีขึ้น แล้วกลับมานอนใหม่ นอนได้สักครึ่งชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงในห้องน้ำ โดยปกติผมมักจะเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ ให้มีแสงลอดมาให้เห็น เผื่อกลางคืนเดินเข้าห้องน้ำ และไม่ให้ห้องมืดไป ตอนนั้นผมนอนหันหลังให้กับห้องน้ำ เสียงที่ได้ยิน คล้ายเสียงปิดเปิดสวิทซ์ไฟ ต๊อก แต๊ก ต๊อก แต๊กๆๆๆ สลับกันเป็นจังหวะ ผมรีบพลิกตัวไปดูที่ห้องน้ำ ปรากฏไฟยังเปิดปกติ ไม่ได้กระพริบ แสดงว่าไม่มีการปิดเปิดสวิทซ์ เสียงต๊อก แต๊ก ก็ยังได้ยินอย่างต่อเนื่อง มองที่เตียงของเจ้าเจย์ ก็เห็นว่านอนคลุมโปงหลับสบาย น่าจะหลับสนิทไปแล้ว หลักวิทยาศาสตร์ก็ถูกนำมาใช้อีก สงสัยเป็นแมลงตัวใหญ่หลงบินเข้ามาให้ห้องน้ำ และพยายามหาทางออก แล้ววิ่งชนหลอดไฟในห้องน้ำ ในความถี่เท่ากัน ผมนอนฟังเสียง ต๊อก แต๊ก ไประยะหนึ่ง เสียงไม่ยอมหยุด นอนต่อก็ไม่ไหว คราวนี้ถึงเวลาลุยแล้ว เป็นไงเป็นกัน ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องน้ำ สิ่งที่เห็นคือ ไฟก็ติดเป็นปกติ ยินเสียงต๊อก แต๊กก็หายไป อิหยังว่ะ มีเรื่องให้ งง อีกแล้ว ยืนมองตั้งนาน แล้วกลับมานอนต่อ เสียงเดิมก็มาอีก ตอนนั้นคิดว่าน่าจะมีการบอกกล่าวกัน ผมนั่งสวดมนต์ และพูดในความคิดว่า "ผมมาพักห้องนี้ เพื่อมาทำงาน ขออนุญาติพักสักสามสี่คืน โปรดอย่ามารบกวนกัน พรุ่งนี้จะซื้อพวงมาลัยมาไหว้ " สักพักเสียงที่ได้ยินก็หายไป ตอนนั้นไม่คิดปรุงแต่งเพิ่ม เพราะต้องนอนอีกหลายคืน พยายามข้ามเรื่องนี้ไป คิดว่าน่าจะเป็นเสียงที่เกิดจากห้องข้างๆ กว่าผมจะได้นอนก็เกือบตีห้า
ตื่นเช้ามา ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่เจอมาเมื่อคืน ให้กับเจ้าเจย์ฟัง เดี๋ยวน้องจะกลัว อยู่ไม่ได้ ต้องลำบากไปหาโรงแรมใหม่ คิดแต่เพียงว่า แค่มาทำงานไม่กี่วัน เดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว ก็แค่พลังงานบางอย่างที่มาทำให้กลัวก็เท่านั้น แล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปสาขา ทำหน้าที่ทั้งวัน ตกเย็นน้องพนักงานอาสาขับรถพาไปนั่งกินข้าวในตัวอำเภอ และมาส่งที่โรงแรมตอน 1 ทุ่ม ผมไม่ลืมที่จะแวะซื้อพวงมาลัยมาไหว้ตามสัญญา ซึ้อมา2พวง พวงแรกไหว้ศาลพระภูมิของโรงแรม และอีกพวงวางที่หัวเตียง ในคืนนี้ พวกเราอาบน้ำ เข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ผมต้องตกใจ ลองคิดดูถ้าเรานอนหลับ แล้วกลางดึกได้ยินเสียงคนที่นอนข้างๆ ใช้เท้าถีบอากาศ ส้นเท้ากระแทกกับฟูกของเตียงด้วยเสียงดัง ท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงที่ลอดช่องจากห้องน้ำ ตอนนั้นผมหันมามองเจ้าเจย์อย่างไว และเปิดไฟหัวเตียง ภาพที่เห็นคือ เจ้าเจย์ลุกมานั่งบนเตียง ยังกะผีเข้า เราก็พูดถามดังๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า "เจย์เป็นอะไร!!!" น้องมันบอกว่า "ตะคริวกินขา" ได้แต่หายาหม่องให้นวดเขา เวรเอ๋ย ตกใจหมด แล้วพวกเราก็นอนต่อจนสว่าง
วันต่อมาช่วงเที่ยง พนักงานสาขาขับรถพาไปกินข้าวเที่ยงในอำเภอ เมื่อกินข้าวกันเสร็จ พนักงานจึงพาไปไหว้พระที่วัดดังของจังหวัด ซึ่งอยู่ใกล้กับร้านอาหาร โชคดีมากที่ได้เจอกับเกจิ เจ้าอาวาสของวัด เนื่องจากในสมัยนั้น อาชีพนายธนาคารเป็นที่ยอมรับของคนในท้องถิ่น จึงมักจะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ ได้มีโอกาสเข้าพบหลวงพ่อ พูดคุยสักพัก ก่อนลากลับ หลวงพ่อเมตตา มอบพระหลวงพ่อเงินให้คนละองค์ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการพระเครื่อง ตอนที่รับมา รู้สึกดี นั่งมองพระคิดว่าสวย มีศิลปะ จนต้องไปหาซื้อกล้องส่องพระที่ตลาดใกล้โรงแรมในตอนเย็น เป็นกล้องตัวแรกในชีวิตราคา150 บาท ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าห้อง ลิฟท์เปิด เจ้าเจย์เดินนำหน้า ผมเดินตามมาด้านหลัง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนแก่ไออยู่ข้างหลังผม ระยะประชิด ตอนนั้นหันไปดูอย่างไว ก็ไม่เจออะไร พอพวกเราเข้านอนแล้ว ผมก็เอาพระที่ได้มาวันนี้มานอนส่องบนเตียง ด้วยเห่อพระและกล้องใหม่ และคิดยังไงไม่รู้ เอาพระขึ้นมากำไว้ในมือ แล้วอธิษฐานว่า "ขอให้ไม่เจอปัญหา อุปสรรค์ใดๆ ไม่ให้สิ่งใดมาก่อกวน" พออธิษฐานเสร็จ จู่ๆแอร์ในห้องก็ดับ ต้องโทรเรียกพนักงานโรงแรมให้ขึ้นมาดู รอพนักงานแก้ปัญหาสักพัก ก็ได้รับแจ้งว่า แอร์ซ่อมไม่ได้ ต้องขอให้ย้ายห้อง พวกเราก็ได้ย้ายห้องไปชั้น 6 ในใจลึกๆผมก็ว่าดี เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในห้อง จะรู้สึกไม่ค่อยสบายยังไงไม่รู้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงช่วยให้ได้ย้ายจากตรงนี้ เมื่อเก็บของย้ายไปห้องชั้นที่ 6 ก็ไม่มีอะไรต้องเจอ นอนได้สบายไม่มีปัญหาใดๆ จนมาถึงคืนสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ
ในคืนสุดท้าย หลังเสร็จงานที่สาขาแล้ว หัวหน้าสาขา และพนักงาน ก็พาไปเลี้ยงอาหารตอนเย็นในตัวอำเภอ จากนั้นก็ติดลม พากันมาต่อที่ lounge ที่อยู่ชั้นใต้ดินของโรงแรม เด็กเสริฟบอกว่า วันนี้จะมีตลกมาเล่น (สมัยก่อนอาชีพตลกเป็นที่นิยมมาก) พวกเรานั่งกินดื่มไป จนถึงเที่ยงคืนแล้ว ผมรู้สึกง่วง ตาจะปิดแล้ว จึงขอตัวขึ้นมานอน ส่วนเจ้าเจย์ยังเพลินขอนั่งต่อ ผมก็เดินมาขึ้นลิฟท์ที่ชั้น1 ซึ่งขณะนั้นโรงแรมก็ดันไม่เปิดไฟ (เหมือนหลอดไฟเสีย) ต้องเดินผ่านความมืดมารอลิฟท์ กดหมายเลขชั้น 6 ยืนรอท่ามกลางความมืด เห็นตัวเลขหน้าลิฟท์ลดลงจากชั้น 8 มาชั้น1 และกริ่งลิฟท์ดังตริ๊ง ประตูค่อยๆเปิดออกมาพร้อมกับแสงในห้องลิฟท์ สิ่งที่ผมเจอต่อหน้าในตอนนั้น ทำให้ผมตกใจหายเมา คือ ตลกที่ชื่อเอ็ดดี้หน้าผี กำลังเดินสวนออกจากลิฟท์ เขายิ้มให้ และพูดว่า "สวัสดีครับ" ตอนนั้น ได้แต่ยืนตกใจ ตั้งสติได้ก็สวัสดีเขาไป ก่อนรีบเข้าลิฟท์ และยิ้มให้กับตัวเอง
พวกเรากลับมาถึงกรุงเทพ แยกย้ายกันกลับบ้าน เมื่อเจอกันที่ทำงาน เจ้าเจย์ก็มาบอกผมก่อนว่า "พี่รู้ไหม๊ โรงแรมที่เราไปพัก ในคืนแรก ผมได้ยินเสียงเหมือนมีคนเคาะที่ผนังบนหัวเตียงและมีเสียงดังเหมือนมีคนเล่นสวิทซ์ในห้องน้ำ ผมนอนไม่หลับเลย ได้แต่นอนนิ่งๆ เห็นแต่พี่ลุกมาสองเที่ยว และเดินเข้าห้องน้ำ สักพักเสียงก็หายไป ผมว่าห้องนี้มันแปลกๆ และ คืนที่สอง ที่พี่ตื่นมาทักผมตอนดึก ผมไม่ได้ตะคริวกินนะ ขณะที่ผมนอนอยู่ เหมือนมีใครมาจับขาผม และดึงตัวผมลงจากเตียง ตอนนั้นไม่คิดอะไร ต้องถีบให้หลุด แล้วผมก็ลุกมานั่ง จนพี่ตื่นมาถามผม ผมไม่อยากบอกให้พี่รู้ เดี๋ยวพี่จะกลัวไปด้วย ตอนพี่ถามผมว่าเป็นอะไร จึงบอกไปว่า เป็นตะคริว ดีนะที่พวกเราได้เปลี่ยนห้อง ไม่งั้นคงอยู่ต่อไม่ไหว " ผมได้แต่ยิ้มๆ และคิดว่า อย่างน้อยตรูก็ไม่ได้บ้า หรือหลอกตัวเองว่าหูแว่ว ยังมีคนได้รับรู้สิ่งที่ได้เจอ ไม่ได้เจอคนเดียว ผมเล่าให้เจ้าเจย์ฟังแต่เพียงเจอตลกหน้าลิฟท์ ให้เจ้าเจย์ฟัง ส่วนเรื่องที่เจอมาไม่อยากไปยืนยันความคิดของเจ้าเจย์ให้เชื่อว่า มันมีจริง ให้เป็นแค่เรื่องที่น่าสงสัยที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน และต่อไปน้องต้องออกไปท่องยุทธจักรเอง
นับตั้งแต่วันที่ได้พระมา ผมก็หลงไหลในการส่องดูพระ ว่างเมื่อไร ต้องหยิบพระมาส่องดู (ซึ่งมีองค์เดียว) เพราะรู้สึกดีกับการโฟกัสที่องค์พระ เหมือนไม่สนใจเรื่องอื่น ก้มหน้าดูพระอย่างเดียว จากวันที่ได้รับพระจากหลวงพ่อมาองค์แรก เหมือนมีพลังงานบางอย่าง เรียกหาพระองค์อื่นๆอีกมากมายมาสู่ผม เอาเป็นว่าไปทำงานที่ไหน ก็ต้องแวะเข้าวัด ไปกราบไหว้เกจิดังๆ พร้อมเช่าของดีๆมาบูชา ขอเล่าต่ออีกนิด ตอนไปวัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เช่าพระหลวงปู่ทวดมา องค์ละ 100 จำนวน 20 องค์ กลับมากรุงเทพ ลืมซื้อขอฝากมาฝากเพื่อน จึงให้พระไปคนละกล่อง หมดไป 10 กล่อง ส่วนอีก10 กล่องเก็บในหีบ ผ่านมาหลายปี ราคาพระชุดนี้พุ่งเป็นหมื่น แทบจะขอคืนจากเพื่อนๆ เลย ที่สำคัญพวกเขาจะรู้ไหม๊นะ หรือแจกคนไปแล้ว
การผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้ได้เรียนรู้ว่า ถ้าเราไม่สามารถอธิบายอย่างมีเหตุผลสำหรับบางเรื่องได้ จงอย่ากลัวที่จะไม่ยอมทำอะไร เอาความกล้าของใจ ลุกขึ้นทำบางสิ่ง เพื่อหาคำตอบ ให้คลายสงสัย จะได้ไม่ค้างคา หากใจเราอ่อนแอ ไม่กล้าทำอะไร ความคิดของเราจะก่อตัวปรุงแต่งตามจินตนการที่อ่อนแอของเรา จนทำให้ความคิดติดอยู่กับความเชื่อ ความเข้าใจไปเองอย่างไม่มีเหตุผลไปตลอดชีวิต
พ่อหมูตู้