แชร์

เรื่องเล่าหลอนๆตอนเรียน

อัพเดทล่าสุด: 27 ก.พ. 2025
81 ผู้เข้าชม

            จากการลองพิมพ์เล่าเรื่องหลอนๆตอนทำงาน  เล่าจากประสบการณ์จริง โดยไม่ต้องปรุงแต่งใด ลงใน blog  ก็อดที่จะหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เจอมาด้วยตัวเองชวนหลอนอีกเรื่อง น่าจะมาพิมพ์เล่าให้ได้อ่าน เพื่อการบันเทิงอีกสักเรื่อง ตอนช่วงเรียนหนังสือในระดับปริญญาตรี ที่มหาลัยวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ในเทอมสุดท้ายของปี3 ตอนนั้นอยู่ในกลุ่มประธานนักศึกษาของคณะ  และจะมีกิจกรรมรับน้องใหม่ จึงจำเป็นต้องเตรียมสถานที่จัดกิจกรรม ซึ่งสมัยนั้นทุกสถาบันการศึกษาต้องจัดกันเป็นประเพณี  คณะทำงานได้นัดประชุมเตรียมการ และตกลงกันว่า  จะจัดกิจกรรมกันที่อ่าวแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคตะวันออก ซึ่งเป็นถิ่นของประธานรุ่นนั่นเอง งานแรกที่ต้องทำ คือการเดินทางไปสำรวจพื้นที่จัดกิจกรรม โดยรวบรวมอาสาสมัครที่จะเดินทางไปสำรวจพื้นที่ได้ประมาณ 6 คน และตกลงว่าจะพักกันที่บ้านของประธานรุ่นชื่อ "โอ" ซึ่งเป็นหมู่บ้านอยู่ในหุบเขา ชาวบ้านส่วนใหญ่ของที่นี่ทำอาชีพปลูกทุเรียนและผลไม้ รวมถึงบ้านของโอ ก็มีอาชีพปลูกและขายทุเรียนเช่นกัน ในวันที่เดินทาง เรานัดกันขึ้นรถทัวร์ ที่สถานีขนส่งเอกมัย ช่วงบ่าย กะถึงปลายทางประมาณ 1 ทุ่ม เนื่องจากหมู่บ้านของโอ ต้องลงรถก่อนถึงตัวจังหวัด แล้วต่อรถเข้าไปหมู่บ้านอีกประมาณ 20 นาที กว่าจะถึงบ้านโอ ก็เกือบสองทุ่ม ปรากฏที่บ้านของโอ ไม่มีใครอยู่ออกไปลงทุเรียนที่ตัวอำเภอ ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 10 กิโล โอเล่าให้ฟังว่า วิถีของชาวสวน เขาจะตัดทุเรียนจากสวนขึ้นรถ แล้วขับไปตลาดประจำอำเภอ  ลงทุเรียนกองไว้  รอพ่อค้ามาตีราคา ซื้อเหมา  เมื่อตกลงกันเสร็จ เขาก็ต้องโยนทุเรียนขึ้นรถของพ่อค้า   ฟังแล้วพวกเราอยากไปดูวิธีการลงทุเรียน จึงจะตามไปดู   ที่บ้านโอมีมอเตอร์ไซค์ 3 คัน เราตกลงกันว่าจะไปกันคันละ2 คนพอดี   เนื่องจากมีคันหนึ่งที่ไฟหน้ารถไม่ติด  ผมจึงอาสาที่จะขับให้ เพราะใช้รถมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เรียนมัธยมน่าจะเอาอยู่ และขอไฟฉายที่บ้านส่องนำทาง  ไม่น่ามีปัญหา โดยวางแผนว่าจะขับอยู่คันกลาง ตามคันหน้าไป และมีอีกคันประกบหลัง คนที่นั่งซ้อนท้ายคันของผม ชื่อ "เหน่ง" เป็นเพื่อนสนิทในชั้นเรียน ให้เป็นคนถือไฟฉายส่องทาง  เส้นทางที่ขับไปจะไม่ค่อยมีรถสวน เพราะสมัยนั้นตกเย็นชาวบ้านจะไม่ออกบ้าน ถ้าไม่จำเป็น   ถนนเป็นทางราดยางมะตอย 2 เลนสวนกัน  เส้นทางจะลัดเลาะระหว่างภูเขา  สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่    ไม่มีไฟข้างถนน  ดีหน่อยที่คืนนั้นเป็นคืนพระจันทน์เต็มดวง  ยังพอจะมองเห็นบรรยากาศข้างทางได้เล็กน้อย  ทำให้ได้เห็นรถค้นหน้าได้ชัดขึ้น  ขับไปโดยอาศัยมองไฟท้ายของรถคันหน้าแบบชิวๆ  อากาศเย็นสบาย ขณะที่กำลังขับมากลางทาง เจ้าเพื่อนคนที่ขับรถคันรั้งท้าย ไม่รู้เป็นอะไร ดันเร่งขับแซงรถผมไป  คงเห็นว่าผมขับช้า   ผมคิดว่าไม่เป็นไร ก็แค่ขับตามไฟท้ายโดยไม่ทิ้งระยะไกล เดี๋ยวก็ถึงที่หมายแล้ว  ขับมาสักพักก็เจอกับทางโค้งของไหล่เขา ที่มีต้นไม้ใหญ่ข้างทางเป็นเงาดำสองข้างทาง   เจ้าเหน่ง ที่นั่งเงียบมาตลอด ก็ดันพูดขึ้นข้างหูว่า  "บรรยากาศแบบนี้ ถ้ารถเกิดดับ แย่แน่เลยนะ"  พูดจบ ไม่ถึงสองวินาที รถที่ขับมาดีๆ ดับลงทันที  เราทั้งคู่ตกใจจนพูดไม่ออก  เบี่ยงรถเข้าริมทาง มองไปข้างหน้า ไฟท้ายรถสีแดงคันนำทางค่อยๆวิ่งห่างไป  ความเงียบมาเยือน  มองเห็นรอบข้างแค่แสงของดวงจันทน์  ผมพยายามถีบคันสตาร์ทรถ (สมัยนั้นไม่มีระบบสตาร์ทมือ) หลายครั้งก็ไม่ติด ใช้ไฟฉายส่องเช็ควาล์วระบบน้ำมันก็ปกติ ลองบิดกุญแจปิดเปิด ระบบไฟก็จ่ายปกติ   มองไปข้างหน้า ไม่เห็นไฟท้ายของรถคันหน้าแล้ว   ความมืดมิดกับบรรยากาศกลางป่าเขา หันไปมองหน้าไอ้เหน่งตัวแสบ ก็หน้าขาววอก คงกลัว ไม่ยอมพูดอะไรอีก ได้แต่บอก "ไอ้เหน่ง ช่วยกันดันรถออกจากบริเวณนี้"   เพราะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย เป็นทางโค้ง กลัวมีรถขับมาอย่างเร็วไม่เห็นไฟรถ จะชนเอา  พอเข็นรถมาตามทาง ได้สักพัก ประมาณ5นาที ก็ใจชื้น เห็นดวงไฟวิ่งสวนเข้ามา เป็นรถของเพื่อนอีกคัน ที่เขากลับรถมาตามเพราะมองกระจกข้าง ไม่เห็นแสงของไฟฉายของรถพวกเขา   เพื่อนลงมาดูรถแค่สตาร์ทครั้งเดียว ก็ติดเลย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งความ งง ไว้ตรงนั้น แล้วพวกเราก็ขับต่อไปถึงอำเภอ ไปลองโยนลูกทุเรียนขึ้นรถ จนได้เวลากลับ พ่อของโอให้เอารถคันที่ผมขับ ขึ้นรถกระบะ และผมกับเหน่งก็นั่งรถพ่อกลับมาบ้าน ถึงบ้านอาบน้ำ กินข้าวกัน ก็เล่าถึงเรื่องรถดับให้ทุกคนฟัง พ่อของโอก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนเที่ยงของวันนี้ ทางโค้งตรงนั้น ตรงที่รถไปดับ มีรถประสานงากัน ตายไปหลายศพ พ่อขับรถผ่าน เห็นตอนกำลังเก็บศพ ผมกับเหน่ง มองหน้ากัน น่าจะอารมณ์เดียวกันว่า....โดนเข้าแล้ว  

            บ้านของโอ เป็นบ้านไม้หลังใหญ่กลางสวนทุเรียน มีใต้ถุนสูง มีห้องโถงใหญ่กลางบ้าน ซึ่งก็เป็นที่ก้างมุ้งนอนของพวกเรา หลังจากกินข้าวกันเสร็จ โอก็พาไปดูห้องของพ่อ ก็พึ่งจะรู้ว่า พ่อของโอเป็นคนเล่นของ โต๊ะหมู่บูชากลางห้องมีแต่เครื่องรางของขลังแปลกๆ ที่น่ากลัวสุดคือ มีรูปกะโหลกแปลกๆที่มีเทียนปักอยู่ เห็นแต่ในหนังในละคร พึ่งจะเห็นของจริงวันนี้แหล่ะ แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร พ่อของโอชี้มือไปทิศทางซ้ายมือข้างบ้าน ตรงนั้นจะมีกอต้นหมากและต้นทุเรียน แล้วเล่าให้ฟังว่า เป็นทางผีผ่าน ทุกวันพระจะมีผีผ่าน พรุ่งนี้เป็นวันพระ ให้รอดูนะ จะเกิดขึ้นเวลาเที่ยงคืนสี่สิบห้า พวกเราฟังแล้ว ได้แต่ตื้นเต้น ส่วนผมเริ่มมองว่า พ่อของโอแปลกๆ เพราะวัยตอนนั้น ไม่มีประสบการณ์ใดๆ มาจากต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพ  ยังไม่จบ ก็มาเจอเรื่องเล่าแปลกๆ ไม่เคยมีพระเครื่องใส่คอ ไม่รู้เรื่องพิธีกรรม ไม่รู้เรื่องวิถีชีวิตชาวบ้าน คิดแต่เพียงว่า ยังมีอะไรอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้ ในคืนแรกพวกเราแยกย้ายเข้านอนกัน ในมุ้งหลังใหญ่ 2 มุ้งๆละ 3 คน ที่ห้องโถงใหญ่กลางบ้าน ตกดึกมีเพื่อนคนหนึ่งออกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ซึ่งห้องน้ำจะอยู่บริเวณหลังบ้านใกล้กับห้องพิธีกรรมของพ่อ เพื่อนเล่าว่าขณะที่ทำกิจอยู่ ได้ยินเสียงพูดคล้ายคนแก่ผู้ชาย แต่จับใจความไม่ได้ เป็นเสียงเบาแผ่วๆ ซึ่งมาเล่าให้ฟังตอนเช้า ทุกคนก็บอกว่า น่าจะเป็นหูแว่ว ไม่มีอะไรหรอก

         ในวันรุ่งขึ้น ภาระกิจของพวกเราคือ การเดินทางไปดูสถานที่ สำรวจเส้นทางและพื้นที่จัดกิจกรรม รวมถึง หาที่พักขนาดรองรับผู้ร่วมกิจกรรมประมาณร้อยกว่าคน สมัยนั้น อ่าวที่จะจัดกิจกรรม เป็นอ่าวเงียบๆ ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยว รีสอร์ทไม่มี ต้องติดต่อทางโรงเรียนในแถวนั้น ขอใช้สถานที่ในการทำกิจกรรมและทำที่พัก อยากบอกว่าผ่านมาหลายปี ตอนนี้เป็นอ่าวดัง ร้านอาหาร รีสอร์ทเพียบ คนชอบไปเที่ยวกัน    ในตอนนั้นอ่าวนี้ทุกอย่างดีหมด เป็นธรรมชาติ มีหาดทรายสวย กว้างใหญ่  มีเพียงเรื่องเดียว ที่เป็นวามเชื่อของชาวบ้านว่า ทุกปีจะต้องมีคนเสียชีวิตในทะเลบริเวณอ่าวนั้น เหมือนต้องสังเวย เป็นความเชื่อหลอนๆสืบต่อกันมา และในปีที่ไปสำรวจ ก็มีเด็กพึ่งจมน้ำเสียชีวิตจากการลงเล่นน้ำ เหมือนโดนกระแสน้ำดูดไป       หลังจากพวกเราปฏิบัติภาระกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็กลับเข้าเมือง ไปเดินเที่ยว หาของกินอย่างสบายใจ   พวกเราตกลงกันว่าจะอยู่เที่ยวต่อสักสองวัน  พอกลับถึงบ้านโอ ตอนเย็นก็ชวนกันเดินเที่ยวสวนทุเรียนรอบบ้านของโอ  ช่วงนั้นชาวบ้านพึ่งทำการตัดทุเรียนขายกัน  เดินไปเด็ดผลไม้กินไปเพลิน   ที่พีคสุดคือ พึ่งรู้ว่า ห่างจากบ้านของโอไปประมาณ 100 เมตร เป็นป่าช้าของหมู่บ้าน มีสวนทุเรียน และป่าอ้อย ขวางไว้ระหว่างบ้านโอกับป่าช้าแห่งนี้   ลองเดินไปดูเห็นมีป้ายปักหลุมศพหลายหลุม ความคิดตอนนั้น ไม่ได้กลัว เพราะเราไม่ได้ไปยุ่งด้วย ต่างคนต่างอยู่   ตกตอนเย็นหลังทานอาหารเสร็จ ก็จับกลุ่มพูดคุยกัน พ่อของโอได้เล่าเรื่องแปลกประจำหมู่บ้านว่า เวลาใครตายในหมู่บ้าน ซึ่งสมัยนั้นจะจัดงานศพที่บ้าน หมาในหมู่บ้านจะหอนรับกันทั้งหมู่บ้าน ราวกับว่ามันเห็นอะไร และเล่าว่าคนเล่นของ จะมีช่วงเวลาที่จำเป็นต้องปลดปล่อยสิ่งที่ตัวเองเก็บไว้ หรือเรียกว่า "ปล่อยของ"  เขาจะปล่อยมาตามอากาศ ตามลม ใครดวงไม่ดี ดวงตก มักจะถูกของเข้า  พ่อของโอย้ำเตือนว่า เวลาค่ำคืนมีเสียงเรียก มีของหล่น หรือได้ยินเสียงแปลกๆ อย่ารีบตอบรับ ไม่ต้องสนใจ ให้เงียบๆฟัง ถ้าได้ยินเสียงเรียกชื่อเรา อย่าตอบรับเด็ดขาด ให้เรียกเกินสามครั้งก่อน ค่อยตอบได้ พวกเรานั่งฟังอย่างตั้งใจ ฟังเป็นเรื่องบันเทิงไป  พวกเราในวัยนั้นยังไม่มีความเชื่อเรื่องแบบนี้   ด้วยคืนนี้เป็นคืนวันพระ พวกเรานัดกันว่า จะรอดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบนทางผีผ่านตามที่พ่อโอบอกไว้เมื่อวานว่าเป็นจริงหรือไม่   ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัว  กว่าจะถึงเที่ยงคืน เพื่อนบางคนก็รอไม่ไหว เข้านอนกันไป  ก่อนถึงเวลาเที่ยงคืนสี่สิบห้านาที ผมกับเพื่อนรวมสามคนที่ยังไม่นอน  ยืนหยัดว่าจะรอดูกัน ส่วนอีกเหลือนอนหลับสบายไปแล้วในมุ้ง เพราะทนรอไม่ไหว   พวกเราสามคนจองที่ยืนดูบริเวณหน้าต่างชั้นสอง หันหน้าไปทางที่พ่อโอบอก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณสามสิบเมตร สมัยก่อนเวลาเปิดหน้าต่างต้องผลักบานไม้ออก แล้วเอาสายยูที่เป็นตะขอสับยึดไม่ให้บานไม้กระแทกตีกลับ ตอนลมมา และหน้าต่างจะเปิดโล่ง ไม่มีเหล็กดัด หรือลูกกรง ตอนนั้นรอบบ้าน ไม่มีลม เงียบสงัด แม้ใบไม้ก็ไม่ไหวติง  จนมาถึงเวลาที่พ่อของโอบอก นั่นคือเที่ยงคืนสี่สิบห้านาที  จู่ๆก็มีลมพัดอย่างแรงจนกิ่งไม้ ต้นหมาก ลู่ตามลม แบบกระโชกตามทางที่พ่อของโอบอกว่าเป็นทางผีผ่าน เสียดายว่าไม่มีมือถือถ่ายคลิปเหมือนสมัยนี้  ไม่งั้นคงจะได้ดูกันแบบชัดๆ   ทิศทางของลมที่พัดไปทางป่าช้าข้างบ้าน ตอนนั้นพวกเราสามคนรีบถอยออกจากริมหน้าต่างโดยไม่ได้นัดหมาย มานั่งรวมกันที่กลางบ้าน ไม่มีใครพูดอะไร สักพัก มีเสียงดังของสัตว์คล้ายเสียงของชนี "ผัววววววววววว ผัวววววววววว!!!!!" ร้องฟังมาก ที่แปลกคือ เสียงร้องของมันเคลื่อนที่วนรอบบ้านประมาณสามรอบ ก่อนวิ่งขึ้นบนหลังคา แล้วมารอดใต้ถุนบ้านที่เรากำลังนั่งอยู่ จากนั้นลมก็สงบ เสียงร้องก็หายไป    พวกเรานั่ง งง กับสิ่งที่เจอ ไม่ถึงนาที  มีเสียงร้องของนกชนิดหนึ่งบนหลังคาบ้าน (มารู้ทีหลังว่าเป็นเสียงนกแสก)  ร้องอยู่หลายครั้ง จนได้ยินเสียงกระพือปีกบินจากไป แล้วทุกสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นก็เงียบลง ตอนนั้นมีความรู้สึกเดียว "อิหยังว่ะ" พวกเราที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตอนนั้นผมคิดหาเหตุผลเองว่า น่าจะเป็นลิงลม ที่ลอยมากับลม แต่ก็ขัดกับความเป็นจริงว่า ทำไมการเคลื่อนไหวของมัน ลอยวนรอบบ้าน และ ลอยขึ้นหลังคา วนลอดใต้ถุนบ้านได้ และนกตามมาร้องทำไม   เป็นประสบการณ์ของชีวิตที่เจอเรื่องแปลกที่ไม่สามารถอธิบายด้วยภูมิปัญญาที่มี จากนั้นพวกเราทั้งสาม แยกย้ายกันมุดมุ้งเข้านอนโดยไม่พูดอะไรกัน

            เช้าวันต่อมาได้เล่าสิ่งที่เจอมาเมื่อคืนให้เพื่อนๆฟัง พ่อของโอเดินผ่านมา ไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้ม แล้วลงไปดูสวน  วันนี้พวกเรามีแผนว่าจะขับมอเตอร์ไซค์ ไปเที่ยวน้ำตก  เราใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกกันทั้งวัน เล่นน้ำจนตัวเปื่อย ขากลับแวะเดินตลาดประจำหมู่บ้านก่อนเข้าบ้าน  ขณะที่กำลังล้อมวงนั่งกินข้าว แม่ของโอพึ่งกลับเข้าบ้าน พูดบอกกับโอว่า "วันนี้ยาย...เสีย แม่พึ่งกลับมาจากบ้านงานศพ"   เอาแล้ว คืนนี้มีเรื่องต้องพิสูจน์อีกเรื่อง  รอดูว่ามันจะจริงไหม๊ เรื่องหมาในหมู่บ้านจะหอนตามที่พ่อของโอเล่าไว้    ในช่วงเวลาหนึ่งทุ่ม ผมเข้าห้องส้วม ขณะนั่งปลดทุกข์ ก็ได้ยินเสียงผู้ชายแก่ๆ ไม่รู้พูดอะไร พึมพำอยู่นอกห้อง  ตอนนั้นไม่ได้กลัวอะไร แค่รู้สึกสงสัยว่า มันคือเสียงอะไรหรือหูเราแว่วไป   พอเปิดห้องมาก็ไม่เจออะไร จำได้ว่าเพื่อนคนหนึ่งเจอแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่มา   คืนนี้ผมออกไปนั่งอ่านหนังสือ ตรงที่นั่งระเบียงไม้หน้าบ้านคนเดียว เพราะลมดีมาก  โดยเพื่อนทุกคนนั่งคุยกันอยู่ห้องโถงกลางบ้าน   อากาศคืนนี้เย็นสบาย มองไปบริเวณรอบบ้านมืดสนิท  ขณะที่นั่งเพลิน ประมาณสี่ทุ่ม เริ่มได้ยินหมาหอนในระยะไกลๆจากเชิงเขาท้ายหมู่บ้าน   เสียงที่ได้ยิน เปลี่ยนความเชื่อของผม ที่ว่า เสียงหมาหอนโหยหวนหลอนๆที่ได้ยินเวลาผีจะออก จะมีเฉพาะในละครหรือหนังผีไทย  คิดมาเสมอว่าเป็นเสียงประกอบละครที่ประดิษฐ์ขึ้นมา ไม่มีจริง   และตั้งแต่เกิดมาก็ได้ยินสียงหมาหอนที่บ้าน เป็น "โหววูววววว" แบบลากยาว  แต่เสียงหอนของหมาที่ได้ยินตอนนี้ คือเสียงหอนที่แทบจะเป็นสำเนาเดียวกับเสียงที่ได้ยินในละครผีไทย   เสียงหอนจากตัวแรกที่อยู่ไกลๆ  ก็มีหมาตัวที่สองหอนรับกันมาเป็นช่วงๆ  ด้วยเมโรดี้เดียวกัน   คิดตอนนั้นว่า เสียงหอนยังอยู่ไกล ไม่น่ากลัวหรอก   แค่ได้รู้ว่า ที่พ่อของโอพูดให้ฟังเป็นเรื่องจริงทั้งหมด   และแล้วเสียงหอน เริ่มเข้ามาใกล้ เรื่อยๆ จากหมาตัวที่สองเป็นสาม สี่ ห้า หก... มาเรื่อยๆ เสียงเริ่มชัดขึ้น  เสียงหลอนจนขนลุก เข้ามาใกล้ๆที่ผมนั่งอยู่  จนถึงแนวป่าช้าข้างบ้าน  ตอนนั้นผมรีบวิ่งเข้าบ้าน ปิดประตูลงกลอน หันมาเพื่อนเข้านอนกันหมด ได้แต่มุดมุ้งเข้านอนโดยไม่กล้าออกมาแล้ว .... งานนี้ผมเชื่อพ่อแล้วครับ 

         เรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเจอมาในวัยเรียน ได้ประสบการณ์แปลกๆในสิ่งที่เราไม่เคยรู้เลย ไม่มีสอนในตำรา ไม่มีใครบอกเรา เราต้องมาเรียนรู้เอง มาเจอเอง ยังมีสิ่งที่ยังไม่รู้อีกมากมายบนโลกใบนี้  ครั้งนี้ทำให้ผมได้เปิดมุมมองในเรื่องเหนือธรรมชาติ บางทีเราอย่าไปตัดสินคนในพฤติกรรมที่เขาทำ ทั้งที่เรายังไม่รู้ว่าเขากำลังเผชิญกับอะไร ถ้าเราไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ ก็อย่าไปตัดสินว่าผิด ถูก จากสิ่งที่เขาเชื่อ   บางทีความเชื่อของเราเอง ก็อาจไม่ถูกก็ได้   

 พ่อหมูตู้


บทความที่เกี่ยวข้อง
มุมเดียวกัน แต่เห็นต่างกัน
เล่าเรื่องการทำงานของสมอง กับการตีความของมนุษย์
12 มี.ค. 2025
social norms
พฤติกรรมของคนเห็นแก่ตัว กับบรรทัดฐานทางสังคม
10 มี.ค. 2025
เรื่องเล่าหลอนๆตอนทำงาน #4   ที่น่าเจอกลับไม่เจอ
เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตัวเอง สมัยไปทำงานที่ต่างจังหวัด
6 มี.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy