เรื่องเล่าหลอนๆตอนทำงาน #2 ต้อนรับน้องใหม่
ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดครั้งแรกในชีวิต ตอนนั้นประมาณปี2535 รับหน้าที่ไปเปลี่ยนระบบให้กับสาขาของธนาคารแห่งหนึ่ง ในจังหวัดใกล้กรุงเทพ เนื่องจากพึ่งเข้ามารับหน้าที่ใหม่ หัวหน้าจึงให้ไปเรียนรู้งานกับรุ่นพี่คนหนึ่ง สมมุติว่าชื่อ พี่หมู หน้าที่ของพี่หมูคือจะเป็นโค้ชสอนการทำงานให้ พี่หมูเป็นคนใต้วัย35ปี รูปร่างสูงผอม ผิวคล้ำ เป็นคนเฉยๆ ตาแข็งๆเหมือนคนติดยา ไม่ค่อยพูด ชอบกินเหล้า เวลาเมาจะบุคลิกจะเป็นคนละคน เรานัดกันที่หมอชิตช่วงบ่ายแก่ๆ กว่าจะถึงจังหวัดนี้ก็ปาไปหกโมงกว่าๆ เนื่องจากพึ่งเริ่มงานใหม่ จึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ต้องตามรุ่นพี่คนนี้ไป พี่หมูแกไม่ได้จองที่พักไว้ แกบอกว่า ปกติมาทำงานแถวนี้ จะ walk in เข้าที่พักเลย เพราะคิดว่าที่พักคงไม่เต็ม สมัยก่อนเขาให้เบิกค่าที่พักได้ วันละไม่เกิน500บาท ซึ่งเราก็จะสามารถพักโรงแรมเกรดสามดาวในสมัยนั้น เมื่อถึงโรงแรมที่พี่หมูเคยมาพักเมื่อปีที่แล้ว ปรากฏห้องถูกจองเต็ม เพราะเป็นช่วงที่มีงานของจังหวัด ต้องให้คนขับรถรับจ้างตระเวนหาที่พักในเมือง ลงไปสอบถามสอง สามโรงแรม ก็ต้องผิดหวัง ห้องถูกจองเต็มหมด ตอนนั้นก็มืดลงแล้ว ยังหาที่พักไม่ได้เลย ก็เป็นกังวลกัน ขณะที่กำลังนั่งรถผ่านตลาดในเมือง สายตาเหลือบไปเห็น ป้ายบอกชื่อโรงแรมเก่าๆ จึงให้รถขับไปตามทาง ก็เจอกับโรงแรมที่เป็นตึกเก่าๆ เข้าไปถามพนักงานที่หน้าเคานเตอร์ ได้แจ้งว่า "ห้องถูกจองเต็มหมดแล้วครับ" พี่หมูก็พูดว่า "ไม่มีคนยกเลิกเลยเหรอ ตอนนี้ก็เกือบทุ่มแล้ว ผมหามาหลายที่แล้ว พอดีมาทำงานที่ ธนาคาร... ถ้าไม่ได้ คืนนี้ไม่มีที่นอน คงต้องกลับกรุงเทพ ไม่รู้จะมีรถกลับไหม๊ กลับไปนอนกรุงเทพก็ต้องตีรถกลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น ลำบากแย่เลย " น้องพนักงานที่อยู่หน้าเคานเตอร์สองคน ทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนคนหนึ่งจะพูดว่า "พอดีมีเหลืออีกห้องหนึ่งครับ ทางโรงแรมกันไว้ จะเอาไหม๊ครับ " เหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ ไม่คิดอะไร พี่หมูรีบตอบอย่างไว "เอาครับ ขอบคุณมากครับ ไม่งั้นลำบากแย่เลย" พนักงานพาเราไปชั้นสี่ เป็นห้องสุดท้ายอยู่ซีกซ้ายของตึก ซึ่งติดกับพื้นที่รกร้าง สภาพป่ารกชัฎ เราก็ไม่สนใจ เพราะยังไงก็ปิดผ้าม่าน คงไม่ได้เปิดมาดู อารมณ์แรกที่เปิดเข้าห้อง รู้สึกแปลกๆ ห้องอับชื้น ไม่ค่อยสว่าง คิดว่า คงเป็นกลิ่นจากพรมสีแดงเก่า ผ้าม่านสีออกแดงคล้ำ และตอนนี้ก็มืดแล้ว ทำไงได้ เลือกไม่ได้ เนื่องจากเป็นจังหวัดใกล้กรุงเทพ เราจึงวางแผนว่าจะพักที่นี้สักสี่คืน แล้วกลับกรุงเทพในวันเสาร์ สภาพห้อง มีเตียงไม้คู่ เตียงไม้สมัยก่อน เป็นแบบทึบ มองไม่เห็นช่องใต้เตียง มีตู้หัวเตียง กลางคั่นระหว่างเตียงทั้งสอง เหมือนโรงแรมทั่วไป บนตู้หัวเตียงจะมีโทรศัพท์เครื่องใหญ่สีดำแบบหมุน (สมัยนั้นยังไม่มีมือถือใช้ อย่างดีก็พกเพจเจอร์) มีโคมไฟสภาพเก่าอยู่บนเหนือตู้หัวเตียง บริเวณปลายเท้า จะมีโต๊ะเครื่องแป้ง มีบานกระจกรูปวงรี และเก้าอี้เล็กๆ สมัยนั้นห้องพักราคานี้ จะไม่มีติดตั้งทีวีให้ ส่วนแอร์ที่ใช้จะเป็นแบบตั้งพื้น มีคอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่ๆ เสียงพัดลมดังดีนักแล แต่ที่แปลกคือ มีแผ่นยันต์สีแดงติดบริเวณประตูด้านใน ซึ่งตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร คงติดไว้เป็นมงคล
ในคืนแรกผมอาบน้ำ อ่านหนังสือ แล้วนอน เพราะไม่มีมือถือให้เล่น ลองคิดดูช่วงเวลานั้น ธนาคารยังใช้ระบบออฟไลน์ ต้องใช้เครื่องพิมพ์บันทึกรายการฝากถอนลงสมุดเงินฝากอยู่เลย ซึ่งหน้าที่ของผมคือการเปลี่ยนระบบเป็นออนไลน์ โดยการส่งข้อมูลการทำธุรกรรมของธนาคารผ่านระบบสัญญาณโทรศัพท์เพื่อประมวลผลข้อมูลตามศูนย์คอมพิวเตอร์ย่อยที่กระจายตัวอยู่ในจังหวัดใหญ่ๆทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี่ทันสมัยสุดในตอนนั้น หลังจากพี่หมูอาบน้ำเสร็จ ก็บอกผมว่า "พี่จะออกไปหาเพื่อน (ผมว่าจะหาเหล้ากิน) ดึกๆกลับนะ ขอเอากุญแจห้องไปด้วย จะได้ไม่ต้องตื่นมาเปิดห้องให้ นอนได้เลย " สมัยก่อนโรงแรมจะให้กุญแจเพียงดอกเดียว และกุญแจที่ให้มา จะออกแบบพวงห้อยแท่งอันใหญ่บอกเบอร์ห้อง คิดว่าคงกลัวลูกค้าทำหาย หรือให้ลูกค้าฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ก่อนออกจากโรงแรม หากพกใส่กระเป๋าไปด้วยจะไม่สะดวก รวมทั้งไม่มีระบบเสียบบัตรเปิดไฟ ผมคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ไม่ชอบไปนั่งกินเหล้าอยู่แล้ว ให้เขาไปสำราญ เนื่องจากที่เคยบอกไว้ ความคิดตอนนั้นไม่มีชุดข้อมูลหลอนๆในหัว คิดว่าแค่มานอนไม่กี่วันแล้วตื่นเช้าไปทำงาน และในช่วงนั้น ผมยังไม่ได้รู้จักพระเครื่องเลย ไม่มีอะไรป้องกันภัยใดๆ (ไว้จะมาเล่าเรื่องการเริ่มต้นเข้าสู่วงการพระเครื่องให้ฟัง) กว่าพี่หมูจะกลับมาห้องพร้อมกลิ่นเหล้าก็ดึกมาก ในคืนแรกช่วงประมาณตีสาม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กริ่ง กริ่ง กริ่ง (โทรศัพท์รุ่นเก่า เสียงดังมาก) เนื่องจากโทรศัพท์ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งเตียงของเรา และรูมเมทก็เมาหลับแล้ว จึงลุกมารับสาย ได้ยินเสียงแต่เสียงซ่าๆๆ ไม่คำพูดอะไร อิหยังว่ะ คิดตอนนั้นว่าอาจเพราะเป็นโรงแรมเก่า ระบบโทรศัพท์น่าจะรวน ตื่นเช้ามา รู้สึกเหมือนไม่ได้นอน ทั้งๆที่นอนตั้งแต่หัวค่ำ และ ฝันแปลกตลอดคืน โดยปกติ จะเป็นคนที่นอนง่าย ไม่ค่อยฝันอะไร คิดเองว่า คงเพราะเปลี่ยนที่นอนและเหนื่อยจากการเดินทาง จากนั้นพวกเราก็เดินทางเข้าทำงานที่สาขาตามปกติ จนถึงเย็นกลับเข้าโรงแรม
ในคืนที่สอง หลังจากกินข้าวเย็นแล้ว พี่หมูก็ขอตัวออกไปหาเพื่อนอีกตามเคย ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องคนเดียว ในขณะที่ผมกำลังอาบน้ำฝักบัวในห้องน้ำ สระผมฟองฟอด จู่ๆไฟก็ดับ มืดสนิท ตกใจ สทันไปชั่วขณะ มองไม่เห็นแสงใดๆ ทำอะไรไม่ถูก คว้าผ้าขนหนูได้ รีบออกจากห้องน้ำ ปรากฏไฟภายในห้องก็ดับมืดหมดเช่นกัน มองเห็นแต่แสงจากภายนอกที่กระทบผ้าม่านสีแดงตรงหน้าต่าง ได้บรรยากาศเลย จึงค่อยๆเดินมาเปิดประตูออกนอกห้อง กะว่าจะไปแจ้งพนักงานโรงแรม และแล้วเมื่อเปิดออกมาภายนอกห้อง ไฟติดสว่างปกติ หันไปมองในห้อง ก็ งง ว่ามันเลือกดับเฉพาะในห้องเราห้องเดียว ยืน งง 15วินาที สมองกำลังประมวลข้อมูล คิดว่าฟิวส์ของห้องนี้ขาดอยู่ห้องเดียวมั้ง สักพักไฟในห้องก็เปิดขึ้น ได้แต่กลับเข้าห้องไปอาบน้ำต่อ เก็บความ งง ไม่คิดอะไรมาก คืนนี้ก็เช่นเคยตื่นมารับสายตอนตีสาม มีเสียงซ่าๆๆๆ เหมือนคืนแรก กะว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปแจ้งทางโรงแรมให้แก้ปัญหานี้ ตื่นเช้ามา ความรู้สึกเดิมคือ เหมือนไม่ได้นอน ฝันว่าวิ่งหนีคนทั้งคืน ตอนฝากกุญแจกับทางโรงแรม ได้แจ้งเรื่องโทรศัพท์ที่รบกวนเวลาดึก เขารับจะดูให้ วันนี้ช่วงทำงานในสาขา ได้พูดคุยกับน้องพนักงานซึ่งเป็นคนท้องที่ เธอถามผมว่า "พี่พักกันที่ไหนค่ะ" ผมก็บอกว่า "พักโรงแรมxxx เพราะช่วงที่มา ที่พักเต็มหมด" พนักงานทำหน้าตาตื่นๆและบอกเพียงว่า "โรงแรมนี้มีชื่อนะ" ผมก็ไม่คิดอะไร เข้าใจว่า เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงสมัยก่อนของจังหวัด จึงไม่ได้สนทนาต่อ
ในคืนที่สาม คืนนี้พี่หมูไม่ได้ออกไป ดีที่มีเพื่อนคุย และไม่ต้องผจญกับไฟดับคนเดียว ลืมบอกไปว่า เรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่คืนแรกมา ไม่ได้เล่าให้พี่หมูฟัง เดี๋ยวจะหาว่าผมคิดมาก เราเข้านอนกันตั้งแต่สองทุ่มกว่า ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ผมฝันว่าน้องสาวถูกรถชนเสียชีวิต รู้สึกเหมือนจริงเลย ในฝันผมร้องไห้อย่างหนัก จนสะดุ้งตื่นขึ้นมา ที่แปลกกว่าคือ มีน้ำตาอาบแก้มทั้งสอง ได้แต่เอามือบาดน้ำตาแบบ งง ไม่เคยเป็นแบบนี้ นี้มันฝันแต่ทำไมร้องไห้น้ำตาออกจริง มองไปดูพี่หมู ก็เห็นว่านอนห่มผ้าหลับสบาย ผมก็นอนต่อ ไม่คิดอะไร จนถึงเวลาเดิม โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก สงสัยโรงแรมไม่ได้ดูให้ ทั้งๆที่แจ้งแล้ว ล้มตัวลงนอนสักพัก กำลังจะหลับ ก็ตกใจในเสียงกรีดร้องเหมือนผู้หญิงถูกทำร้าย แหล่งของเสียงมาจากหน้าต่าง ท่ามกลางความมืดในห้อง หันไปมองที่หน้าต่าง และพี่หมูก็หลับสนิท จึงตัดสินใจเปิดไฟหัวเตียง แล้วลุกขึ้นเดินมาเปิดผ้าม่านหน้าต่าง มองลงมาดูตรงป่ารกๆ ไม่เห็นอะไร เสียงร้องก็หยุดไปตั้งแต่เปิดไฟแล้ว ผมยืนดูสักพักก็กลับมานอนต่อ ความคิดแรกคือ กลัวว่าจะมีคนไม่ดีพาผู้หญิงมาทำร้ายในป่ารกข้างโรงแรม แต่มันก็ขัดกับสิ่งที่ควรจะเป็นคือ ทำไมเสียงร้องที่ได้ยิน หยุดลงตอนเราเปิดไฟหัวเตียง อิหยังว่ะอีกแล้วเรา คืนนี้ถูกจัดหนักหลายเรื่อง ช่วงเวลานั้นไม่ได้กลัว มีแต่ความ งง แต่ก็ต้องนอนพักต่อเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงาน คิดเท่านี้
ลืมเล่าอีกเรื่องว่า ช่วงที่อยู่ในห้องคนเดียว ผมมักจะมีเสียงกุกกัก ดังบริเวณตู้ใส่เสื้อผ้า หน้าห้องน้ำ เดินไปดูก็ไม่มีอะไร ยืนฟังในตำแหน่งของเสียง ก็ไม่มีอะไร เลยคิดว่า คงเป็นเสียงจากข้างห้อง ไม่ต้องปรุงแต่งต่อ
ตื่นเช้ามารู้สึกเหมือนไม่ได้นอนเช่นเคย วันนี้เราวางแผนกันว่า ถ้าเคลียร์งานเสร็จก็จะกลับกรุงเทพเลย แต่ถ้ายังไม่เสร็จก็จะอยู่ต่ออีกคืน เช้านี้ผมอาบน้ำต่อจากพี่หมู ขณะที่กำลังนั่งถ่ายทุกข์ พี่หมูที่อยู่นอนห้องน้ำ ก็ตะโกนบอกว่า "ลงไปรอที่ล็อบบี้นะ" ผมก็อาบน้ำ แปรงฟันต่อ เสร็จกิจเปิดประตูออกจากห้องน้ำมา มองไปที่ประตูห้อง เห็นสายโซ่คล้องล็อคประตู ถูกใส่ล็อคจากภายในไว้อยางเรียบร้อย ทั้งๆที่พี่หมูออกนอกห้องไปแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก ผมรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เผ่นออกจากห้องทันที จนมาถึงที่ทำงาน ผมเร่งทำงานที่ค้างให้เสร็จ อยู่นอนต่ออีกคืนไม่ไหวแล้ว ช่วงกลางวัน ได้มีโอกาสพูดคุยกับพนักงานคนที่เคยบอกว่า "โรงแรมนี้มีชื่อ" ถามเธอว่า "มีชื่อแบบไหนครับ " เธอตอบว่า "พี่ไม่ได้อ่านข่าวฆ่าหมกศพไว้ใต้เตียงเหรอ เป็นข่าวดังมาก เขาปิดชื่อโรงแรมไว้ แต่คนพื้นที่รู้ว่าน่าจะเป็นโรงแรมที่พี่ไปพัก" ผมคงโดนเข้าแล้ว ถูกรับน้องตั้งแต่ออกทำงานต่างจังหวัดครั้งแรก พอรู้ข้อมูลแล้ว ผมยิ่งมีแรงขับให้รีบเคลียร์งานให้เสร็จ และโน้นน้าวให้พี่หมูกลับ ไม่อยู่ต่อ พวกเรากลับโรงแรมมาเก็บของกลับบ้านทันที
ก่อนออกจากโรงแรม เอากุญแจไปคืนที่เคาน์เตอร์ ถามน้องพนักงานว่า "ถามจริงๆห้องที่ผมพักมีประวัติอะไรไหม๊ครับ" น้องพนักงานรับกุญแจ ไม่ตอบอะไร แล้วทำเป็นติดธุระ รีบเดินจากไป ......
กลับมาถึงกรุงเทพ ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่เจอมาให้ใครฟัง รวมทั้งพี่หมู เดี๋ยวจะกลัวกันเวลามาทำงานที่จังหวัดนี้อีก ส่วนตัวคิดว่าที่ผ่านประสบการณ์นี้มา เป็นเพราะ สมองยังไม่มีชุดข้อมูลให้ปรุงแต่ง ให้เกิดความกลัวจนควบคุมตัวเองไม่ได้ โชคดีที่เจอแค่นี้ ไม่มากกว่านี้ ไม่งั้น ต่อไปจะไม่กล้าเดินทางคนเดียวแน่ จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ผมต้องไปเจอกับหลายเรื่องตามมา คงเพราะอาชีพการงานที่ต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ จึงมี%ความเสี่ยงที่จะเจอกับเรื่องแบบนี้มากกว่าปกติ
เชื่อว่า การปรุงแต่งของจิตจะทำให้เราเข้มแข็ง หรืออ่อนแอ เมื่อจิตสูงกว่าสิ่งที่จะเข้ามา จะประคองสติให้ผ่านพ้นทุกสิ่งด้วยดี
พ่อหมูตู้