แชร์

เรื่องหลอนๆตอนทำงาน #1 เล่าไปเรื่อย (อารัมภบท)

อัพเดทล่าสุด: 27 ก.พ. 2025
81 ผู้เข้าชม

           ผมเป็นเอฟซีของเดอะโกสเรดิโอ ชอบฟังเรื่องผีๆของบรรดานักเล่าจากทางบ้านที่โทรมาเล่าในรายการ ฟังแล้วแต่ละเรื่องน่ากลัวทั้งนั้น ทั้งเรื่องของตัวเองประสบมา เรื่องที่ฝากมาเล่า เรื่องของคนใกล้ชิดสมัยอดีต แต่ละเรื่องสาวกก็ปรุงเพิ่มเนื้อเรื่องให้น่ากลัว บางเรื่องก็ปรุงสักเวอร์ไป บางเรื่องฟังแล้วก็ขัดๆ  บางคนเอาเรื่องที่ฟัง มาเล่า ยังกะตัวเองอยู่ในเหตุการณ์  เล่าซะหลอนกว่าต้นฉบับอย่างไม่เกรงใจใคร  แต่ถ้าเรื่องไหนสามารถทำให้คนฟังมีอารมณ์คล้อยตาม และเชื่อตาม  นั้นคือเรื่องเล่าสุดหลอนของช่อง อย่างเช่น เรื่องธี่หยด ที่มีคนพิมพ์ลงในพันทิพ และเล่าในรายการผี  เอามาสร้างเป็นหนัง ทำรายได้ดี เนื้อหาถูกปรุงแต่งเพิ่มจากเรื่องเล่าต้นฉบับ   จากความนิยมในภาค1 ก็สร้างภาค2 เพิ่มตัวละครขึ้น เพิ่มที่มาที่ไปของตัวละคร ก็บันเทิงดี     โดยปกติผมจะนั่งทำงานในช่วงดึก นอนประมาณตีสองเกือบทุกคืน คอมพิวเตอร์มีสองจอ จอหนึ่งทำงาน จอหนึ่งเปิด youtube ฟังเรื่องเล่าผีเป็นเพื่อนไป  ฟังที่เรื่องเล่าของบรรดาสาวก ก็พึ่งรู้ว่า ที่ผ่านมา เราก็เคยเจอกับตัวเหมือนกัน แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันคือผี  เช่นไปนอนโรงแรมต่างจังหวัด ตกกลางคืนจะได้ยินเสียงลากเก้าอี้บนเพดานห้องทั้งคืน มีน้ำเปิดไหลเองในห้องน้ำ มีเสียงเคาะประตูยามวิกาล โทรศัพท์ดังขึ้น พอรับไม่มีคนพูด ไฟปิดเปิดเองในห้อง ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องในห้อง ฯลฯ  ก็เจอมาหมดแล้ว จะลองเอามาเล่าให้ทุกคนฟังบ้าง เพื่อการบันเทิง  เนื่องจากไม่สันทัดในการโทรเล่าในช่องผี  แต่มีสามารถในการพิมพ์เล่าเรื่องน่าจะดีกว่า  ลองอ่านดูนะครับ ผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยกับมือใหม่ในการเล่าเรื่องครั้งแรก
           งานหน้าที่ของผมช่วงนั้นประมาณปี2530กว่าๆ คือการไปเปลี่ยนระบบให้กับสาขาของธนาคารแห่งหนึ่ง  ตลอดระยะ5ปี ต้องเดินทางไปทำงานที่สาขาทั่วประเทศ ต้องอยู่ทำงานประมาณ3เดือนในแต่ละสาขา ในช่วงนั้นจะเป็นสาขาในตัวอำเภอ ซึ่งไม่เจริญนัก  ในบางสาขาต้องพักโรงแรมในอำเภอ หรือบ้านพักใกล้ธนาคาร ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด แทบไม่ได้อยู่ในกรุงเทพเลย  กลับมากรุงเทพก็มาเตรียมเอกสาร เคลียร์งาน แล้วไปต่อ  ช่วงเริ่มทำงานใหม่ๆ จำได้ว่าไปไหน นอนไหน ไม่ได้แขวนพระ ยังไม่กลัวอะไร อาจเป็นเพราะ เป็นคนต่างจังหวัด ถูกเลี้ยงดูหรืออยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้ใส่ชุดข้อมูลเรื่องผีเข้าหัวตั้งแต่เด็ก  ตอนเด็กกางมุ้งนอนคนเดียวบนฟูกบางๆปูเสื่อบนกระดานไม้เก่าๆของบ้านไม้ เป็นโถงชั้นสองที่ข้างฝาเต็มไปด้วยรูปถ่ายขาว-ดำเก่าๆของบรรพบุรุษ มีแต่รูปหน้าตรงของบรรดา ทวด ตา ยาย ญาติทั้งหลาย แต่ละรูปไม่มียิ้ม บางรูปเคี้ยวหมากอยู่เลย ตาก็จ้องมองตรงแบบดุๆ ไม่รู้ไปโกรธใครมา เวลาตกกลางดึก มักจะได้ยินเสียงเหมือน คนเดินรอบมุ้ง ใครเคยนอนบ้านที่มีพื้นเป็นกระดานไม้จะรู้ว่า เวลามีคนเดินพื้นกระดานแผ่นไม้จะมีเสียงและมีแรงสั่นสะเทือน ยิ่งนอนเอาหูใกล้พื้น จะได้ยินชัดเจน ผมได้ยินจนชิน ทุกวัน มาหลายปี ยิ่งวันโกนวันพระ จะได้ยินเสียงดังหน่อย  ทำได้แต่นอนนิ่งๆ เอาผ้าห่มคลุมหัว แล้วหลับไป  มีบางคืนรู้สึกถูกดึงขา ดึงผ้าห่ม ก็แค่หดขา ดึงผ้าห่มกลับแล้วนอนต่อ  มีพีคสุดคือ มีอยู่คืนหนึ่ง ตื่นขึ้นมากลางดึกแบบ งงๆ จากการปลุกของพ่อแม่ เห็นแต่แม่เอาหางปลากระเบนมาฟาดข้างๆตัว แล้วพูดว่า "ออกไป ออกไป" ตอนนั้น งง อิหยังวะ แล้วก็นอนต่อ พอถึงเช้า แม่ก็เล่าให้ฟังว่า ผมละเมอร้องเสียงดังซ้ำๆว่า "แมวดำมาๆๆๆ" คนอีสานเขาจะเชื่อเรื่องปอบ แม่เอาหางปลากระเบนมาไล่  นั้นคือจุดเริ่มต้นของการต้องสวดมนต์ก่อนนอนมาจนถึงทุกวันนี้  ต่อมาแม่ทำห้องใหม่ให้และมีเตียงนอน ต้องเดินผ่านห้องโถงนี้ทุกคืนแบบมืดๆ ลองคิดดู ทุกคืนต้องเดินประมาณเจ็ดก้าวจากหัวบันไดชั้นสอง ไปเปิดสวิทซ์ไฟที่เสากลางบ้านของห้องโถงเพื่อให้มีแสงสว่าง ซึ่งเวลาเปิดสวิทซ์ต้องใช้มือคำหา เจ้าสตาร์ทเตอร์กับบัลลาสต์ไฟสมัยก่อน กว่าจะติดได้ กระพริบหลายครั้ง ต้องยืนรอให้ไฟสว่าง ถึงเดินเข้าห้องนอนอีกประมาณสิบก้าว และเมื่อเข้าไปเปิดไฟในห้องนอน ต้องเดินออกมาปิดไฟที่ห้องโถงแล้วเดินกลับ แต่ทุกคืนผมเลือกที่จะเดินผ่านความมืดที่ห้องโถงสิบกว่าก้าว เข้าห้องนอนไปเลย อาศัยความเคยชิน คิดย้อนกลับไปก็ถือว่า เราได้ฝึกเอาชนะความกลัวมาตั้งแต่เด็ก ถือว่าเป็นสิ่งดี

           นิสัยส่วนตัวตั้งแต่เด็กอีกอย่างคือ ตกค่ำๆ ชอบหอบเสื่อไปปูนอนดูดาว ดูพระจันทน์ ในสนามหลังบ้าน ซึ่งรกมาก บางทีก็ปีนขึ้นไปนอนบนหลังคา รู้สึกได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ซึ่งตอนนั้นอากาศอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณยี่สิบองศา ร้อนสุดตอนกลางวันไม่เกิน25องศา ไม่มีแอร์ เปิดหน้าต่าง นอนสบาย นึกถึงก็เสียดายการเป็นอยู่แบบนั้น ดีที่ได้มีประสบการณ์แบบนั้น เด็กที่เกิดมาในยุคหลังจะไม่รู้ความรู้สึกแบบนี้เลย และไม่คิดว่าตลอดชีวิตของผมจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก เป็นการใช้ชีวิตแบบไม่ปรุงแต่ง เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ ไม่มีมลพิษ  เล่ามาเพียงต้องการบอกว่า ผมเติบโตมาแบบไหน ในวันที่ไม่มีข้อมูล ก็ไม่กลัวอะไร  จนมาถึงวันนี้ว่าที่มีแต่ชุดข้อมูลเรื่องเล่า ปรุงแต่งให้จนต้องกลัวตามบ้าง  ทุกวันนี้เช่าตึกสี่ชั้นเก็บของสะสมซึ่งมีมากมายหลายอย่าง และพวกของหลอนก็เก็บหมด ทั้งกุมารทอง อีเป้อ ปั้นเหน่ง ตานี ไอ้งั้ง นางกวักเก่าๆ นางรำ นางพราย กำไลโบราณ ดาบโบราณ ฯลฯ รวมถึงของหลอนๆของลูกค้าที่ร้าน ที่มีประวัติจนเก็บไว้ที่บ้านไม่ได้ ผมก็รับมาเก็บให้ ยอมรับว่านั่งทำงานอยู่ตึกนี้ก็มักจะรู้สึกบ้าง ยิ่งต้องขึ้นไปเอาของชั้นบนคนเดียว ก็แอบรู้สึกบ้าง แต่ไม่กลัว เพราะคิดว่า ใจเราสำคัญกว่า และไม่ปรุงแต่งให้กลัว แต่มีน้องๆที่มาร้านเจอ ไว้ค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง  คงเพราะผมต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้คนเดียวมาตลอด และอยู่บ้านคนเดียว มีเพียงหมาน้อยเป็นเพื่อน จึงจำเป็นต้องมีจิตที่ชนะความกลัวให้ได้ พอพูดถึงหมาน้อยที่บ้าน มีอยู่วันหนึ่งผมได้รับกุมารทองไทยใหญ่มา ปกติจะเอาไว้ร้าน ไม่เอาเข้าบ้านเพราะเคยมีปัญหา แต่วันนั้นดันติดกระเป๋ามาวางไว้ในบ้าน  ตกดึกเจ้าหมาน้อยพันธุ์เฟรนด์บูลด็อกซึ่งปกตินิสัยเขาจะไม่ค่อยเห่า และจะไม่เห่าแบบไม่มีเหตุผล คืนนั้นกำลังนั่งทำงานอยู่ก็ต้องตกใจ เสียหมาเห่าดัง มองไปเห็นภาพหมายืนจ้องกระเป๋าที่ใส่กุมารทองไว้ แล้วเห่าเสียงดัง ที่สำคัญเสียงเห่าหมาเป็นการเห่าคนแปลกหน้า ยอมรับว่าขนลุกเลย ได้แต่พูดเสียงดังว่า "ไม่มีอะไร หยุดเห่า เสียงดัง พ่อตกใจหมด" ทั้งๆในใจก็รู้สึกอยู่ ก็กลบเกลื่อนไป แล้วก็อัญเชิญกุมารทองตนนั้นไปไว้ในรถที่โรงจอดหน้าบ้าน ก่อนจะนำไปเก็บที่ร้าน และอีกวีรกรรมหนึ่งคือ ผมซื้อเก้าอี้หวายจากร้านนำเข้าของต่างประเทศมาใช้  เป็นเก้าอี้หวายจากยุโรป ของเก่ามือสอง เอามาตั้งในบ้านในคืนแรก ตกดึก(คำว่าตกดึกของผมคือหลังเที่ยงคืน) เจ้าหมาน้อยก็ไปยืนจ้องไปที่เก้าอี้ แล้วเห่าเหมือนตอนที่เห่ากุมารทอง ราวกับว่ามีคนนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น ต้องพูดให้หยุดเห่า จากนั้นเจ้าหมาน้อยก็เห่าอยู่หลายคืนในเวลาเดียวกัน  จนเราต้องพูดดังๆขึ้นว่า "อยากอยู่ก็อยู่ไป ต่างคนต่างอยู่นะ" ไม่รู้ว่าเข้าใจภาษาไทยหรือไม่ นับแต่วันนั้น เจ้าหมาน้อยก็ไม่เห่าอีก แต่ก็มีบางคืนที่ยังเห่าบ้าง คงทักทายกัน  วันต่อไปได้เจอกับเจ้าของร้านที่ขายเก้าอี้ให้ เล่าให้เขาฟัง เขาก็ทำหน้าตกใจและบอกว่าจะส่งคืนไหม๊ ผมก็พูดติดตลกว่า "ของแรร์ไอเทมแบบนี้ มีของแถมพิเศษให้อีก ได้กำไรเห็นๆ จะคืนทำไม 555"  เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า บางทีเราเลี้ยงหมาเป็นเพื่อนก็จริง แต่ก็ชอบหาเรื่องหลอนมาให้พ่อเสมอ   

           พอพูดถึงที่บ้าน ก็มีเรื่องเล่าว่า บ้านหลังนี้ลงมือปลูกสร้างเอง ก่อนสร้างก็นิมนต์พระวัดดังมาทำพิธีถอนสิ่งไม่ดีออกจากที่ดินแล้ว ตอนเข้ามาอยู่แรกๆที่กำลังเห่อบ้านใหม่  ตอนกลับจากทำงานก่อนเข้าบ้านทุกวัน ช่วงประมาณสองถึงสี่ทุ่ม   ต้องเดินตรวจรอบบ้าน มีอยู่วันหนึ่ง เดินตรวจไปบริเวณหลังบ้าน ส่องไฟไปเจอกลุ่มควันสีขาวเป็นรูปคนชัดเจน ก็ทำให้ตกใจ แต่ก็ยืนดูสักพัก เห็นกลุ่มควันค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้า ไม่รู้จะเอาหลักวิทยาศาตร์ใดมาอธิบาย และที่พีคสุดอีกเรื่องคือ มีอยู่คืนหนึ่งประมาณสี่ทุ่ม ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ริมรั้วของบ้าน  ขณะที่รดน้ำอยู่ ก็หันมาเจอรูปหน้าเด็กหญิง ตัดผมหน้าม้า คล้ายเด็กนักเรียน ยืนอยู่ห่างประมาณ 1 เมตร ระยะประชิด แว่ปหนึ่ง ได้แต่ยืนสทันแล้วหลับตาลง ลืมตาขึ้นมาก็หายไป งานนี้ขนลุกเลย ได้แต่ไปทำบุญให้  แต่ก็ไม่ทำให้กลัวอะไรมากมาย เห็นเป็นเรื่องปกติที่คุ้นชิน 

             ย้อนกลับไปตอนที่หัวยังไม่มีชุดข้อมูลใดๆมาใส่ให้คิดกลัว ตอนเข้ามาเรียนที่กรุงเทพ และจบมาทำงานที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ของธนาคาร แถวถนนเพชรบุรี ซึ่งเป็นตึกเก่า เป็นตึกสูงประมาณแปดชั้น ศูนย์คอมพิวเตอร์อยู่ชั้นสี่  มีห้องเก็บเซิร์ฟเวอร์และเมนเฟรมระบบประมวลผลข้อมูล  มีพื้นที่โต๊ะนั่งทำงานรอบๆ รับรองคนประมาณสี่สิบคน มองเห็นกันหมด  ผมชอบนั่งทำงานกลับดึกๆ บางวันเพื่อนกลับกันหมด ก็มักจะมีเสียงปริ้นเตอร์ทำงาน เสียงเครื่องถ่ายเอกสารทำงาน เสียงหน้าคอมเปิดทำงาน เสียงเหมือนมีคนกำลังทำงานเป็นประจำ เห็นเป็นเรื่องปกติ  บรรดาแม่บ้านก็มักจะมาเล่าชุดข้อมูลให้กลัว เช่น รปภ ผลัดกลางคืน มาแอบนอนโซฟาหน้าลิฟท์ ก็มักจะเจอดึงขา  แต่พวก รปภ.ก็ชอบมานอนเพราะมีหลายคนถูกหวย โชคดีกันไป เข้าสุภาษิต  "ไม่เข้าถ้ำเสือ ใยจะได้ลูกเสือ"  หรือคนเก่าๆบอกว่าในตึกนี้มีผีแขกอยู่  และมีแค่เรื่องเล่าเดียวที่ทุกคนกลัวในตอนนั้นคือ รุ่นพี่คนที่นั่งทำงานอยู่ใกล้  ได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต(ตายโหง)  มีคนที่มาติดต่องาน เห็นพี่เขานั่งทำงาน โดยที่เขาไม่รู้ว่าเสียชีวิตแล้ว  ช่วงก่อนวันจะเผาศพ เพื่อนๆรวมตัวผม ก็มักจะได้กลิ่นธูปเป็นช่วงๆโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วน รปภ ผลัดดึกก็ได้ยินเสียงเขย่าประตูกระจกทางเข้า   หลังงานเผาศพแล้ว ก็ไม่มีใครเจออะไรอีก และที่นี้แหล่ะที่ผมเจอเต็มๆกับตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิตการทำงานในออฟฟิศ  

            ในวันนั้น ผมนั่งเคลียร์เอกสารก่อนออกเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด ทำเพลินจนดึกประมาณสี่ทุ่ม ทุกคนกลับบ้านกันตั้งแต่ทุ่มหนึ่ง มีเพียง รปภ ขึ้นมาตรวจดูเพื่อจะปิดไฟ แต่ก็ขอ รปภ เพราะยังไม่เสร็จ และวันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก ฟ้าร้องตั้งแต่สามทุ่ม ขณะที่กำลังจะเสร็จงาน ไฟดับ!!!! ในตึกมืดหมด ทั้งชั้นผมอยู่คนเดียว มีเสียงฟ้าร้อง มีเพียงแสงจากฟ้าผ่า ตกใจหมด ทำยังไง ไฟฉายไม่มี มือถือสมัยนั้นไม่มีโหมดไฟฉาย เอาตัวรอดก่อน ไม่สามารถเก็บของได้ มืดไปหมด ลุกขึ้นค่อยๆเดินคำหาทางออกไปที่ประตูด้านหน้า ระวังไม่ให้ชนอะไร ทั้งฟ้าก็ร้องเสียงดังไม่หยุด กว่าจะเอาตัวออกมาจากที่นั่งจนถึงประตู ก็ใช้เวลาสักพัก เปิดประตูได้ก็มาถึงหน้าลิฟท์ กำลังจะเดินลงบันได ดีที่ตึกมีผนังเป็นช่องกระจก ทำให้มองเห็นขั้นบันไดในช่วงที่ได้แสงนำทางจากฟ้าแลบ ขณะที่กำลังจะก้าวลงบันได ในความมืดก็ได้ยินเสียงเหมือน คนใส่รองเท้าส้นสูง วิ่งกระแทกสันสูงลงจากบันไดที่อยู่ชั้นบน เสียงวิ่งลงมาใกล้ตัว ต๊อก แต๊ก ต๊อก แต๊ก........ ตอนนั้นสมองคิดว่า ปกติชั้นบนเขากลับกันทั้งแต่ห้า หกโมงแล้ว มันไม่น่ามีใคร และนี้มันเสียงรองเท้าส้นสูงชัดๆ ก้องดังในช่องบันได ไปพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง ฟ้าแลบ  เสียงเดินเข้ามาใกล้ๆ ประมาณเหนือชั้นที่ผมอยู่ 1-2 ชั้น วิชาเอาตัวรอดของผมได้เปิดทำงานอย่างอัตโนมัติ จากที่กำลังจะเดินลงทีละขั้น กลายเป็นกระโดดลงทีละสามสี่ขั้น  ส่วนมือก็จับราว รูดลงไปเหมือนกำลังลงเขา เรียกว่าหนีอย่างไม่คิดชีวิต ขาหักช่างมัน ในตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องใด เอาให้รอดก่อน หูได้ยินเสียงดังไล่มาตลอด   ดูเหมือนกำลังจะวิ่งมาทันด้านหลังแล้ว ประมาณชั้นพักบันไดก่อนมาถึงที่ผมอยู่  จากชั้นสี่ที่อยู่ ลงมาชั้นล่างสุด ถ้าจับเวลาคงทำลายสถิติโลกในการวิ่งลงตึก และเมื่อถึงชั้นล่าง ที่จะมีเคาน์เตอร์ รปภ ประจำอยู่ ก็ไม่เห็นใคร ได้แต่ตะโกนเรียก รปภ และหันไปดูในตำแหน่งของเสียงที่วิ่งไล่มาตรงขั้นบันได ก็ไม่เห็นมีอะไร เสียงก็หยุดลง   สักพัก รปภ วิ่งสวนมาจากหน้าตึก พร้อมไฟฉาย ถามว่า มีอะไรครับ และไฟฟ้าของตึกก็มา ไฟติดสว่างขึ้น จึงแจ้ง รปภ ช่วยเป็นเพื่อนขึ้นไป เอาของที่โต๊ะทำงาน กลับบ้าน จากเหตุการณ์นี้ ก็ไม่ได้ฟันธงว่าโดนผีหลอก แต่ความรู้สึกมันกลัวจริงๆ จะว่าปรุงแต่งว่ามีคนวิ่งไล่ มันได้ยินเสียงรองเท้าสันสูงวิ่งลงบันได้ไล่หลังจริงๆ ถาม รปภ ว่าในตึกมีคนอยู่ไหม๊ ก็แจ้งว่าในตึกตอนนี้ไม่มีคนอยู่ กลับกันหมดแล้วตั้งแต่ทุ่มนึง ไม่ได้เล่าเรื่องที่เจอมาให้ รปภ ฟัง สู้ให้เขาไม่รู้จะดีกว่า เพราะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่คนเดียวทั้งคืน ตั้งแต่วันนั้นโต๊ะทำงานของผมจะต้องมีไฟฉายติดไว้ตลอด และถ้าไม่จำเป็นจะไม่กลับดึก หรืออยู่คนเดียวช่วงกลางคืน เรื่องนี้หากเป็นเรื่องที่เขาเล่ากันในช่องผี คงต้องใส่ข้อมูลเพิ่มเติมให้ดูหลอนขึ้นเช่น ต้องมีฉากเห็นผ้าขาววิ่งผ่านหน้า มองขึ้นไปเห็นเงารูปคนกำลังวิ่งลงมา พร้อมเสียงกรีดร้อง หรือดูเหมือนคนนั่งอยู่ระหว่างลงมา หรือโชคดีเจอเพื่อนพนักงานหน้าลิฟท์ และเขาบอกว่ามาเอาของ ที่ไหนได้ มารู้ทีหลังว่าเมื่อวานกลับบ้านโดยรถชนเสียชีวิตไปแล้ว บรื้อออออออ

            ชุดข้อมูลความกลัวเริ่มเข้ามา แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อ คราวนี้ถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด ตามที่ได้เกริ่นไว้ในช่วงต้น ไว้จะเล่าให้อ่านกันต่อไปใน
เรื่องหลอนๆตอนทำงาน #2  รับน้องใหม่

พ่อหมูตู้


บทความที่เกี่ยวข้อง
มุมเดียวกัน แต่เห็นต่างกัน
เล่าเรื่องการทำงานของสมอง กับการตีความของมนุษย์
12 มี.ค. 2025
social norms
พฤติกรรมของคนเห็นแก่ตัว กับบรรทัดฐานทางสังคม
10 มี.ค. 2025
เรื่องเล่าหลอนๆตอนทำงาน #4   ที่น่าเจอกลับไม่เจอ
เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตัวเอง สมัยไปทำงานที่ต่างจังหวัด
6 มี.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy